อีกฝ่ายเป็นฝ่ายกล่าวขอโทษ หลินหยางก็ไม่ได้คิดหยุมหยิมอีกต่อไป คุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของพ่อกับแม่ต่อไป
มู่หรงจางพาบอดี้การ์ดกับมู่หรงหว่านเอ๋อร์เดินไปด้านข้าง
“พ่อคะ ไอ้หมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้วนะคะ พ่อไม่รู้อะไร เขาเป็นผีพนัน ติดหนี้พนันก้อนโต ยังเสพยาจนถูกจับ เพราะฉะนั้นเลยถูกตระกูลหลิ่วยกเลิกงานหมั้น ถ้าหากไม่ใช่ว่ามีผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างฉินโม่หนง ทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยนั้นของพ่อแม่เขา ก็คงถูกเขาเอาไปเล่นพนันจนเกลี้ยงแล้ว
“อีกทั้งถ้าหากไม่มีฉินโม่หนงคอยปกป้องเขา เขาคงจะถูกเจ้าหนี้ดอกเบี้ยโหดฟันตายไปตั้งนานแล้ว!”
“หนูเดาว่าจะต้องเป็นเพราะฉินโม่หนงไม่ยอมให้เงินเขาไปเล่นพนันกับเสพยาแน่นอน ดังนั้นเขาเลยด่าชาวบ้านว่าจิตใจโหดเหี้ยม อันที่จริง เขานั่นแหละที่เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมที่แท้จริง”
“ลูกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน?” มู่หรงจางกล่าวถาม
“ฉินโม่หนงกับตระกูลพวกเรามีความร่วมมือทางธุรกิจกัน หนูเคยเจอหน้าเธออยู่หลายครั้ง ค่อนข้างนับถือเธอเลยทีเดียว เลยได้ยินเรื่องนินทาเกี่ยวกับตระกูลหลินมานิดหน่อยค่ะ”
“ฉินโม่หนง...พ่อเองก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีฝีมือและความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ว่า เรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
มู่หรงจางกล่าว
ตอนนี้หลินหยางเป็นปรมาจารย์ระดับเบิกฟ้า หูตาว่องไว คำพูดเหล่านี้ของมู่หรงหว่านเอ๋อร์ เขาได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉินโม่หนงตัวดี แกเป็นแม่พระ ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่กลับทำลายชื่อเสียงของฉัน แกโหดร้ายนัก!”
หลินหยางกำหมัดแน่น คิดว่าชื่อเสียงของตนเองในวงสังคมตอนนี้ คงจะย่อยยับป่นปี้ไปตั้งนานแล้วแน่ ๆ
เขาแทบอยากจะจัดการกับนางมารร้ายอย่างฉินโม่หนงให้เจ็บแสบอีกสักยก เพื่อกำจัดเพลิงโทสะในหัวใจ
หลินหยางนั่งอยู่หน้าหลุมศพอยู่นาน ถึงได้ลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะเดินออกไป
ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของมู่หรงหว่านเอ๋อร์ดังลอยมาจากบริเวณไม่ไกลนัก
“คุณพ่อ พ่อเป็นอะไรไป? ท่านรีบฟื้นซิคะ!”
เขาใช้พลังเนตรคู่ไปดู ภายในชั่วพริบตาก็นำภาพเหตุการณ์ที่ห่างออกไปร้อยเมตรดึงเข้ามาใกล้ที่ตรงหน้า
เห็นมู่หรงจางหมดสติไป ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ น้ำลายฟูมปาก แล้วก็มีอาการชักกระตุกตามมา
มู่หรงจางอาการป่วยกำเริบกะทันหัน ทำให้มู่หรงหว่านเอ๋อร์กับเจียงจั่วเฟิงที่เป็นบอดี้การ์ดตกใจ
“เร็วเข้า ส่งพ่อไปโรงพยาบาลที”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์สงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว เจียงจั่วเฟิงแบกมู่หรงจาง มุ่งหน้าวิ่งไปที่ลานจอดรถ
“จากตรงนี้ถึงโรงพยาบาล อย่างเร็วสุดก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง อาการป่วยนี้ของเขา ถ้าไม่ได้รับการรักษาภายในสิบนาที ก็อาจจะตายได้”
ตอนที่พวกเขาเดินผ่านข้างกาย หลินหยางก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“พูดจาเหลวไหล! นายไม่ใช่หมอสักหน่อย นายจะเข้าใจอะไร?”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์เดือดดาล
“ผมไม่ใช่หมอ แต่ผมรู้วิธีการรักษา ตอนนี้มีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้” หลินหยางกล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ
“นายเก่งมาจากไหน? นายมันก็แค่ผีพนัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายเป็นใคร”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์ดูถูกหลินหยางจากก้นบึ้งของหัวใจ กล่าวกับเจียงจั่วเฟิง “พี่จั่วเฟิง พวกเราไปกันเถอะ”
“ให้เวลาผมสามนาที ถ้าหากผมช่วยชีวิตเข้าไม่ได้ พวกคุณจัดการผมได้ตามสบาย ไม่อย่างนั้นพวกคุณลงเขารีบไปโรงพยาบาลทั้งแบบนี้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน”
คำพูดของหลินหยาง ทำให้มู่หรงหว่านเอ๋อร์กับเจียงจั่วเฟิงหยุดชะงักลงอีกครั้ง
“คุณหนูหว่านเอ๋อร์ ถ้าไม่อย่างนั้นลองดูสักหน่อยไหมครับ?”
เจียงจั่วเฟิงเห็นท่าทางที่สุขุมของหลินหยาง จึงกล่าวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“คำพูดของผีพนันแบบนี้ เชื่อถือไม่ได้หรอกมั้ง? อาการแบบนี้ของพ่อฉัน จะชักช้าไม่ได้นะคะ”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์ไม่เชื่อหลินหยางเลิกสักนิด
“ผมพูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็แล้วแต่พวกคุณ”
หลินหยางสาวเท้าเดิน มุ่งหน้าเดินลงเขาเช่นกัน
“พี่จั่วเฟิง รีบไปกันเถอะ จะชักช้าไม่ได้แล้ว”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์กล่าวเร่งเร้า
เจียงจั่วเฟิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤต ขวางหลินหยางเอาไว้
“ผมให้คุณลองดู มีเวลาเพียงแค่สามนาที ถ้าหากภายในสามนาทีคุณช่วยชีวิตไม่ได้ ผมจะหักคอของคุณทันที!”
หลินหยางเยาะหยันอยู่ในใจ ถ้าหากลงมือขึ้นมาจริง ๆ นายยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน
“ทำไมยังไม่ฟื้นอีก? ฉันรู้อยู่แล้วว่านายมันคนหลอกลวง!” มู่หรงหว่านเอ๋อร์ด่าทอเสียงดัง
ในเวลานี้ มู่หรงจางไอออกมาอย่างรุนแรงสองที ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ !
มู่หรงหว่านเอ๋อร์กับเจียงจั่วเฟิงอ้าปากค้างเบิกตากว้าง อย่างเหลือเชื่อทันที
“พ่อ! ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ?”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์รีบประคองมู่หรงจางขึ้นมา
“เมื่อครู่นี้จู่ ๆ พ่อก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
มู่หรงจางลุกขึ้น ในเวลานี้กลับไม่ได้รู้สึกมีความผิดปกติอะไร
“คุณมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน”
หลินหยางที่อยู่ด้านข้างกล่าวอธิบาย
เจียงจั่วเฟิงเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง มู่หรงจางถึงได้รู้ว่า หลินหยางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“ขอบใจน้องชายที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อน ช่วยชีวิตผมเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่า คุณอายุยังน้อย แต่ฝีมือการรักษาของคุณกลับล้ำเลิศแบบนี้ เป็นพวกผมที่ตาต่ำ”
มู่หรงจางโค้งคำนับหลินหยาง สีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“เขามีฝีมือการรักษาอะไรกัน? หนูว่าก็แค่แมวตาบอดเจอหนูตาย[footnoteRef:1]เท่านั้น อาจจะเป็นแค่เพียงหมดสติกะทันหันเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงอะไรสักนิด ถูกเขาใช้ประโยชน์มากกว่า” [1: แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง โชคเข้าข้าง]
มู่หรงหว่านเอ๋อร์ยังคงไม่เชื่อว่าผีพนันอย่างหลินหยางจะมีฝีมือการรักษาโรคที่น่ามหัศจรรย์แบบนี้ รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก รีบพูดจาเยาะหยันเขาทันที
“เธอหมายความว่าฉันเป็นแมวตาบอดก็ไม่เป็นไร แต่ความหมายประโยคนี้ของเธอคือ พ่อของเธอเป็นหนูตายงั้นหรือ?”
หลินหยางกล่าวยอกย้อนอย่างประชดประชัน
“นายรนหาที่ตาย!”
มู่หรงหว่านเอ๋อร์เกรี้ยวกราด ยกมือขึ้นชี้หลินหยาง ดวงตางามเบิกกว้างด้วยความโกรธ กำลังจะลงมือสั่งสอนหลินหยาง
“หยุดพูดได้แล้ว!”
มู่หรงจางตะคอกด้วยน้ำเสียงโมโห “รีบกล่าวขอโทษน้องชายท่านนี้เดี๋ยวนี้เลย!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนหมอมังกรระห่ำเมือง