หนึ่งเดือนต่อมา...กับการที่ต้องพลัดพรากจากเพื่อนสนิท เมื่อลินดาไม่ยอมย้ายไปเรียนต่อที่มอสโกกับตนเอง
“ฉันคงคิดถึงเธอมากแน่ๆ เลยลินดา แน่ใจนะว่าจะไม่ไปด้วยกัน” ยาหยีน้ำตาซึมขณะยืนอำลาเพื่อนรักอย่างลินดาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ไปเถอะยายลูกหยี ฉันทิ้งโกวิทไปได้ที่ไหนกันล่ะ ฉันรักเขามาก ก็เหมือนกับที่เธอไม่สามารถอยู่ห่างจากพ่อเทพบุตรตาเขียวได้แม้แต่วันเดียวนั่นแหละ” ลินดาระบายยิ้มให้กับเพื่อนสนิท ดึงร่างอรชรเข้ามาสวมกอดเอาไว้แน่น
“ถึงแม้เราจะอยู่ห่างกัน แต่ฉันก็สามารถไปหาเธอที่มอสโกได้นี่ อย่าคิดมากน่า เธออยู่กับฉันก็ไม่มีความสุขเท่ากับอยู่ใกล้พ่อเทพบุตรตาเขียวหรอกน่า” ลินดาพยายามให้กำลังใจ แต่เพื่อนของหล่อนกลับร้องไห้โฮ เดือดร้อนถึงหล่อนที่ต้องรีบกวักมือเรียกคอร์เนลที่ยืนอยู่ห่างออกไปหลายเมตรให้เข้ามาช่วยปลอบใจ
“แต่ฉันอยากให้เธอไปด้วยนี่ ไปอยู่ด้วยกันนะลินดา”
“ลูกหยี...ร้องไห้ทำไมครับ”
คอร์เนลเดินเข้ามาดึงร่างของภรรยาเข้าไปสวมกอด จูบที่เรือนผมสีดำขลับแผ่วเบาด้วยความรักใคร่
“คอร์น...ลูกหยีอยากให้ลินดาไปด้วย”
“ลินดาทิ้งคนรักไม่ได้หรอกครับ เอาไว้ผมจะพาคุณมาหาลินดาในทุกครั้งที่คุณต้องการดีไหม”
ยาหยีเงยหน้าขึ้นจากอกกว้างของคอร์เนล ระบายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“จริงหรือคะคอร์น คุณไม่ได้โกหกลูกหยีใช่ไหมคะ”
คอร์เนลหันไปสบตากับลินดา ก่อนจะพยักหน้ารับยิ้มๆ
“ผมจะโกหกเมียตัวเองได้ยังไงล่ะครับ ผมมีเครื่องบินส่วนตัว จะมาเมืองไทยเมื่อไรก็ได้ คุณไม่ต้องกังวลนะลูกหยี”
“ดีจังเลยค่ะ ลินดา...ฉันจะมาหาเธอบ่อยๆ นะ” หญิงสาวหันไปยิ้มอย่างดีใจให้กับเพื่อนรัก ลินดาส่ายหน้าน้อยๆ และประชดประชันออกมา
“ฉันคงดีใจมากที่เธอมาหาฉันบ่อยๆ แต่พ่อเทพบุตรตาเขียวสามีของเธอคงจะกลุ้มใจมากทีเดียวแหละที่ต้องบินไปบินมาระหว่างกรุงเทพฯ และมอสโกเดือนละหลายๆ ครั้งน่ะ”
ยาหยีย่นจมูกใส่เพื่อน ก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกครั้ง
“เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับฉันนะลินดา ฉันรักเธอที่สุด”
“แต่ฉันไม่อยากรักเธอเลยยายลูกหยี รู้ไหมว่าเพื่อนๆ ทั้งคณะซึ่งก็รวมถึงตัวฉันด้วยอิจฉาเธอจนตาร้อนผ่าวๆ กันเป็นทิวแถวที่เธอได้กินผู้ชายที่หล่อที่สุดในสามโลกแถมยังรวยเว่อร์อย่างพ่อเทพบุตรตาเขียว”
ลินดาทำเสียงเล็กเสียงน้อยไม่จริงจังนัก ยาหยีรู้ว่าเพื่อนแซวเล่นก็หัวเราะร่วน แต่คนที่หัวเราะดังกว่าหล่อนกลับเป็นคอร์เนลซะนี่
“ดูพูดเข้าสิลินดา...น่าอายจัง”
“ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย มันน่าประทับใจและภูมิใจต่างหาก จริงไหมคะคุณคอร์เนล”
ต้นประโยคลินดาพูดกับหล่อน แต่ท้ายประโยคดันหันไปพูดกับคนตัวโตที่ยืนหน้าเปื้อนยิ้มซะงั้น แถมพ่อเจ้าประคุณก็รับมุกได้ดีราวกับเตี๊ยมกันไว้อย่างนั้นแหละ
“จริงครับ เรื่องจริงไม่สมควรอาย เพราะผมยังไม่อายเลยที่ได้ชิมคุณทุกคืนน่ะยาหยี”
“คนบ้า! พูดจาน่าเกลียด” มือบางตีเผียะลงบนต้นแขนกำยำของสามีด้วยความหมั่นไส้
“ผมพูดความจริงต่างหากล่ะลูกหยีจ๋า เอ๊ะ! นั่นเขาบอกว่าเครื่องจะออกแล้ว”
เสียงเจ้าหน้าที่สนามบินประกาศว่าเที่ยวบินที่จะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังมอสโกกำลังจะออกแล้ว ทำให้หญิงสาวรีบหันไปจับมือลินดาอีกครั้ง บีบแรงๆ ด้วยความอาลัย
“ทำไมเครื่องออกเร็วจัง เรายังร่ำลากันไม่พอเลย”
“แล้วฉันจะโทรไปหานะ ไม่ต้องร้องไห้แล้วแม่คุณ ไม่ได้ตายจากกันสักหน่อย”
ลินดาว่ายาหยีแต่ก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่น้ำตาซึมเสียเอง
“แต่เราก็ถูกผืนน้ำกั้นเอาไว้นี่...ใจหายเหลือเกิน”
สองสาวกอดกันอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ยาหยีและคอร์เนลจะเดินโอบประคองกันหายเข้าไปในห้องรับรองผู้โดยสารขาออก ลินดายืนโบกมืออำลาจนเพื่อนรักลับตา และน้ำตาก็ไหลซึมออกมาอาบแก้ม เมื่อกี้หล่อนทำเป็นหัวเราะเข้มแข็ง แต่จริงๆ แล้วก็อดคิดถึงยาหยีไม่ได้
“แล้วที่นี่ใครจะปลุกฉันไปเรียนล่ะนี่” ลินดายกมือขึ้นป้ายน้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์จนแห้งเหือด จากนั้นจึงตัดใจเดินออกไปจากสนามบินเพื่อไปขึ้นรถที่มีโกวิทแฟนหนุ่มจอดรออยู่ด้วยความเศร้าหมอง ถึงแม้จะรู้ซึ้งอยู่เต็มอกว่ายาหยีไปมีความสุข แต่หล่อนก็ยังอดใจหายไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
บรรยากาศในศาลากลางสวนที่ล้อมรอบไปด้วยแมกไม้ร่มรื่น ยาหยีระบายยิ้มกว้างด้วยความสุขที่สุดในชีวิต ขณะหันหลังไปจ้องมองสายน้ำที่กำลังม้วนตัวลงมากระทบกับโขดหิน ไอเย็นของน้ำกระเซ็นมาแต้มผิวกายจนชุ่มฉ่ำ มันให้ความรู้สึกดีราวกับอยู่กลางน้ำตกในหุบเขาลึกเสียจริงๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่น้ำตกขนาดใหญ่ที่พ่อคนแสนรวยอย่างคอร์เนลจำลองขึ้นมาเพื่อความสำราญเท่านั้นเอง
“ยิ้มหวานจังเลยค่ะคุณผู้หญิง”
ยาหยีละสายตาจากน้ำตกแสนงามตรงหน้าชั่วคราว หันไปมองต้นเสียง แล้วก็ระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นเชอรี่
“ป้านั่นเอง มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ป้าไม่มีอะไรกับคุณผู้หญิงหรอกค่ะ แต่คนที่มีน่ะ นู่น!” แม่บ้านร่างท้วมพยักพเยิดหน้าไปทางตึกใหญ่ และหันมาพูดต่อ
“นายน้อยค่ะ พอเท้าเหยียบพื้นบ้านปุ๊บ ก็ร้องหาคุณผู้หญิงปั๊บเลยค่ะ”
ยาหยีเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ
“คอร์นกลับมาแล้วหรือคะ แต่นี่มันยังไม่เวลาเลิกงานเลยนี่คะ พึ่งบ่ายโมงกว่าๆ เอง”
เชอรี่ระบายยิ้มล้อเลียนออกมาจนคู่สนทนาสาวถึงกับหน้าแดงก่ำ
“คนติดเมียก็เป็นอย่างนี้ทุกคนนั่นแหละค่ะ งานการขนมันมาทำที่บ้านหมด ขอเพียงแค่ให้ได้เห็นเมียอยู่ในสายตาก็พอแล้ว นี่ป้าว่าถ้านายน้อยย้ายออฟฟิศมาที่บ้านได้ก็คงทำไปแล้วล่ะค่ะ”
“ป้าก็พูดเกินไป คอร์นอาจจะลาพักร้อนมาก็ได้มั้งคะ” คนนั่งหน้าแดงยังอุตส่าห์เฉไฉไอ้อีกแน่ะ
“ถ้าลาพักร้อนจริงๆ อย่างที่คุณผู้หญิงว่า งั้นนายน้อยของเชอรี่คงใช้วันลาล่วงหน้าของปีหน้าและปีถัดไปจนหมดเกลี้ยงแล้วมั้งคะ”
คนพูดขำขันแต่คนฟังหน้าร้อนวาบ หัวใจเต้นแรงระรัวจนกระแทกกับหน้าอกอย่างรุนแรง
“ป้าพูดจนฉันอายหมดแล้ว ไม่พูดด้วยแล้วดีกว่า”
ยาหยีก้าวลงจากศาลา เดินนำเข้าไปในบ้าน ใช่ว่าคอร์เนลจะเป็นคนเดียวซะที่ไหนกันล่ะ หล่อนเองก็โหยหาเขาตลอดทั้งวันเช่นกัน แค่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว หล่อนก็แทบอยากจะกระโจนขึ้นไปรอบนห้องนอนเสียนี่
“นั่นคุณผู้หญิงจะเดินไปไหนคะ”
เมื่อเห็นสาวน้อยกำลังจะเลี้ยวไปยังห้องทำงานของคอร์เนล แม่บ้านวัยกลางคนจึงรีบทักขึ้น
“อ้าว...ก็ป้าบอกว่าคอร์นมาแล้ว อยู่ที่ห้องทำงาน”
ยาหยีหันกลับมาจ้องหน้าเชอรี่ด้วยแก้มที่ยังเป็นสีระเรื่อไม่จาง แม่บ้านร่างท้วมส่ายหน้ายิ้มๆ
“เมื่อกี้น่ะอยู่ห้องทำงานค่ะ แต่ตอนนี้น่าจะไปอยู่ในห้องนอนเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ หากคุณผู้หญิงไม่อยากเสียเวลา นู่นค่ะ ห้องนอนเลย”
เชอรี่พยักหน้าไปทางห้องนอน ยาหยีหน้าแดงแล้วแดงอีก แดงไปทั้งตัวด้วยความอับอาย และก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีกนอกจากรีบก้มหน้าเดินตรงไปยังห้องนอนที่มีพ่อเทพบุตรสุดหล่อกำลังรออยู่ในทันที
แม่บ้านร่างท้วมส่ายหน้าแล้วอมยิ้มบางๆ จากนั้นก็เอ่ยออกมาเบาๆ
“เมื่อไรนะจะมีนายน้อยตัวเล็กๆ ออกมาวิ่งเล่นสักทีนะ เราอยากอุ้มใจจะขาดอยู่แล้ว”
“คงอีกไม่นานหรอกคุณเชอรี่ ถ้านายน้อยขยันทำการบ้านมากกว่าทำงานแบบนี้”
เซอร์เกพูดขึ้นข้างหลัง เชอรี่ตกใจยกมือขึ้นทาบอก
“มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ ฉันตกใจหมดเลย”
“ผมก็เดินมาปกตินะคุณเชอรี่ แต่คุณเชอรี่มัวแต่ใจลอยเองต่างหาก แล้วนี่คุณผู้หญิงขึ้นห้องนอนไปแล้วใช่ไหมครับ”
แม่บ้านร่างท้วมพยักหน้ารับน้อยๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย