หลังจากที่หยางเฟิงทราบข่าวนี้แล้ว เขาก็ยึดถือเรื่องนี้เป็นคำเตือนประการหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในสมาพันธ์นักศิลปะการต่อสู้ที่เขาดูแลอยู่
คนหนุ่มสาวที่ไม่คำนึงถึงหลักมารยาทของศิลปะการต่อสู้ย่อมไม่ควรร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้!
คนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้หลงลืมหลักกติกามารยาททางสังคมไปแล้วหรือยังไง กล้าดียังไงโจมตีใส่สหายนักศิลปะการต่อสู้วัยชราหลังการประลองชี้ขาดแล้ว นี่มันเป็นการหยามอัปยศต่อเกียรติของนักศิลปะการต่อสู้บนเวทีประลองอย่างชัดเจน คนหนุ่มสาวพวกนี้เป็นได้แค่เพียงพวกปลายแถวเท่านั้น!
" หลังจากก่อตั้งอู๋ซงขึ้นเรียบร้อยแล้ว ฉันจะมอบให้พวกนายจัดการบริหารอู๋ซง ตอนนี้เป็นเวลาแห่งสันติภาพ ยุคสมัยแห่งควงามสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทักษะการเข่นฆ่าไม่ใช่สิ่งจําเป็นอีกต่อไป แต่กิจวัตรการฝึกศิลปะการต่อสู้ที่เรียบง่ายสามารถเสริมสร้างร่างกายและสร้างความมั่นใจในตนเองได้ แค่นี้ก็พอแล้ว!"
เมื่อได้ยินคําพูดของหยางเฟิงแล้ว หม่าตงพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า "อาจารย์ ผมเข้าใจครับ!"
หยางเฟิงมักจะไม่มีพลังงานและเวลามากพอจัดการสิ่งต่างๆ มากนัก สิ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขามีมากเกินไป ลูกน้องหรือคนที่เขาเรียกใช้ได้ต่างก็มีภาระงานล้นมือแล้ว และไป่หู่ก็อยากติดตามรับใช้เขาไปอยู่ทุกที่ ดังนั้น การให้หม่าตงเป็นผู้จัดการดูแลอู๋ซงจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ตั้งแต่หยางเฟิงก่อตั้งสมาพันธ์นักศิลปะการต่อสู้นี้ขึ้นมา เขาก็ต้องทำให้มันมีความหมายและคู่ควรกับหลักการของเขาที่ว่า “ถ้าจะทำก็เอาให้เต็มที่ ไม่งั้นก็อย่าทำ” หรือหลักการที่เรียกตามภาษาของคนหนุ่มสาวว่า “ถ้าจะทำก็เอาให้สุดแล้วหยุดที่ความสำเร็จ” เท่านั้น
นั่นคือเหตุที่หยางเฟิงเตรียมการอย่างระมัดระวังและวางแผนการพัฒนาอู๋ซงในอนาคตทีละขั้นไว้แล้ว
ทันใดนั้นเอง หยางเฟิงได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวายอยู่นอกอาคารของสมาพันธ์ฯ เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเดินออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และทำใมศิษย์สมาพันธ์ฯ ถึงได้เอะอะโวยวายจนเสียระเบียบกันขนาดนั้น แต่เมื่อเขาเดินออกไปถึงหน้าประตูทางเข้าสมาพันธ์ฯ เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใดและสิ่งที่คนผู้นี้ต้องการจากสมาพันธ์ฯ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
เบื้องหน้าเขาคือผู้ชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นคุกเข่าที่หน้าประตูทางเข้าสมาพันธ์ ผู้คนพากันรายล้อมเฝ้าจับตาดูสิ่งที่ชายคนนี้กระทำด้วยความคาดหวังและความใคร่รู้
ชายที่คุกเข่าอยู่คนนี้คือผู้คุมกฎสิบของสำนักกุ่ยเหมิน!
" ผู้คุมกฎสิบ ครั้งสุดท้ายในหมู่บ้านตระกูลเย่ คุณโชคดีพอที่จะหลบหนีเอาชีวิตรอดไปจากเงื้อมมือผมได้ ผมไม่ได้เห็นคุณมานานแล้ว วันนี้คุณมาทําอะไรที่นี่ คุณมาคุกเข่าลงกับพื้นตรงนี้เพื่ออะไรกันแน่"
ให้ตายสิ หยางเฟิงได้แต่ถอนหายใจ ผู้คุมกฎสิบคนนี้คือศัตรูตัวฉกาจของเขา คนที่มีประวัติแบบนี้ย่อมไม่ได้มาดีแน่นอน ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงคุกเข่าที่หน้าประตู แต่เขาต้องเล่นตามน้ำไปก่อน
ตึง!
ตึง!
ตึง!
ผู้คุมกฎสิบคุกเข่า ก้มศีรษะกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นถึงสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาร้องไห้อย่างขมขื่นแล้วร้องว่า “อาจารย์หยาง ช่วยข้าด้วย ขอให้ท่านช่วยช้าด้วยเถอะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เทพสงครามพิทักษ์โลก
อ่านไม่ได้ครับ...