เจี่ยนอันอันแอบคิดในใจ นางอาจสงสัยผิดคนก็เป็นได้
แต่หากไม่ใช่กู้มั่วหลีส่งคนมาจับตัวเสิ่นจือเจิ้ง แล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?
กู้มั่วหลีเห็นเจี่ยนอันอันมีสีหน้าร้อนรน จึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางอันอัน ข้าไม่ได้พบเสิ้นจือเจิ้งจริงๆ หากว่าได้พบเขา ข้าต้องบอกเจ้าแน่”
เมื่อเห็นกู้มั่วหลียืนกรานว่าไม่ได้พบเสิ้นจือเจิ้ง เจี่ยนอันอันจึงไม่คิดเสียเวลากับเขาอีก
นางหันไปพูดกับต่งฮุ่ย “เรายังมีธุระ คงไม่รบกวนการค้าขายของเถ้าแก่อีก”
ต่งฮุ่ยก็ไม่คิดรั้งตัวพวกเขาไว้ จึงไปส่งถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม
ก่อนที่เจี่ยนอันอันจะขึ้นรถม้า ได้ถามต่ออีก “ท่านพอจะบรรยายลักษณะกลุ่มคนที่ติดตามพี่ใหญ่ข้าได้หรือไม่?”
ต่งฮุ่ยคิดพลาง จึงได้กล่าวตอบ “พวกเขาล้วนแต่งกายธรรมดา แต่ใบหน้าของแต่ละคน ล้วนมีรอยสักทั้งสิ้น”
“คล้ายนักโทษประหารที่ถูกจองจำในคุก ใบหน้ามักจะต้องมีรอยสักไว้”
คำพูดของต่งฮุ่ย ทำให้ทุกคนเกิดความเครียดในใจ
เห็นทีคงเป็นนักโทษเดนตายที่หนีออกจากเรือนจำ แล้วมาพบเจอเสิ่นจือเจิ้งที่นี่เข้า
จึงได้สะกดรอยตามรถม้าของเขา พร้อมถือโอกาสจับตัวเขาไป
และพวกเขาก็ไม่ได้ติดตามผู้อื่น นอกจากเสิ่นจือเจิ้งเพียงผู้เดียว
แสดงว่าระหว่างพวกเขากับเสิ่นจือเจิ้ง คงมีความแค้นใหญ่หลวงต่อกันมาก่อน
เจี่ยนอันอันนึกถึงการคาดคะเนของตน ก่อนหน้าที่อยู่ในรถม้า
ไม่แน่ว่าคนกลุ่มนั้น อาจเป็นศัตรูกับเสิ่นจือเจิ้งซึ่งเป็นเจ้าของร่างเดิม
และพวกเขาก็ไม่รู้ว่า เจ้าของร่างเดิมเสิ่นจือเจิ้งได้เสียชีวิตไปแล้ว
และคนที่อยู่ในปัจจุบัน คือพี่ชายนางทะลุมิติมาต่างหาก
ในเมื่อรู้ว่าคนกลุ่มนั้น ใบหน้ามีรอยสักเป็นสัญลักษณ์
พวกเขาแค่หาตามรอยสักนี้ ก็น่าจะรู้เบาะแสของคนร้ายได้ง่ายขึ้น
ทุกคนต่างขึ้นรถม้า วางแผนว่าจะไปหาที่อื่นต่อ
กู้มั่วหลียกเท้าจะขึ้นรถม้าตามด้วย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฝ่ามิติพลิกชะตาอ๋องผู้ถูกเนรเทศ
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่ให้อ่านฟรีนะคะ...