Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 120

ตอนที่ 120 โชติช่วงชัชวาล

ร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่งในเมืองซู

เหล่าบรรณาธิการแผนกแฟนตาซีของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูกำลังปิดร้านเลี้ยงฉลอง

งานเลี้ยงของบริษัทเป็นเรื่องปกติ ทว่าขนาดของแต่ละครั้งแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง

งานเลี้ยงในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าสยงหัวหน้าบรรณาธิการก็อยู่ด้วย

ที่สำคัญก็เพราะกระบี่เทพสังหารทำยอดขายถล่มทลาย ดังนั้นบริษัทจึงพึงพอใจกับผลงานในช่วงนี้ของแผนกแฟนตาซีมาก และตบรางวัลให้ไม่น้อย

บรรยากาศของงานเลี้ยงก็แสนครึกครื้น

วันนี้เหล่าสยงไม่ได้วางมาดหัวหน้าบรรณาธิการ สนิทสนมกลมกลืน และกินดื่มไปพร้อมกับทุกคน

“ไม่ได้มาครอบครองก็ต้องมืดมัว…”

โทรศัพท์ซึ่งหยางเฟิงวางไว้บนโต๊ะดังขึ้น

หลังจากเหล่าสยงรูดเนื้อแพะย่างกินไปเต็มปากเต็มคำ ความน่าเกรงขามของหัวหน้าก็บังเกิด ตะโกนดังลั่นว่า “เอ้ยๆ ก่อนหน้านี้ฉันพูดแล้วไม่ใช่เหรอ วันนี้ทุกคนอย่ารับโทรศัพท์ มางานเลี้ยงก็ต้องเมา ผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกนายปกติทำงานขยันขันแข็ง แต่ก็ต้องรู้จักปล่อยวางกันบ้าง!”

“ได้ครับๆ”

หยางเฟิงพยักหน้ารัว

ถึงแม้วันนี้เหล่าสยงจะดูท่าทางคุยง่าย แต่บรรณาธิการตัวเล็กๆ ก็ไม่กล้าขัดเจตนารมณ์หรอก

ขณะที่กำลังจะตัดสาย

เพื่อนร่วมงานซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างก็เหลือบไปเห็นหน้าจอโทรศัพท์มือถือ “ฉู่ขวงโทรมาหรอกเหรอ”

“แค่ก!”

เหล่าสยงได้ยินคำพูดนี้ ก็แทบสำลักเนื้อย่างในปาก รีบกลืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระแอมอย่างประดักประเดิด “ถ้าจะไม่รับโทรศัพท์เลยดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่ หยางเฟิงรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ”

ทุกคน “…”

หยางเฟิงพยักหน้า ลุกขึ้นเดินเลี้ยวไปยังมุมสงบ แล้วกดรับสาย

บรรยากาศงานเลี้ยงพลันแปลกพิลึกขึ้นมาทันที

เหล่าสยงดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งคำ กล่าวกลั้วหัวเราะฮ่าๆ “เสียงโทรศัพท์ของหยางเฟิงเพราะมากใช่มั้ยล่ะ”

“ใช่ครับๆๆ!”

“ไม่เลวเลยครับ!”

“เพลงกุหลาบแดง!”

“คนร้องคือซุนเย่าหั่ว!”

“ช่วงนี้เพลงนี้ดังมากเลย!”

ทุกคนพูดต่อกันเป็นลูกขุนพลอยพยัก ไม่รู้จะพูดอะไรก็สรรหาคำพูดมา ดังนั้นบรรยากาศดูจากภายนอกจึงคึกคักขึ้นมา

ไม่ทันไร

หยางเฟิงก็กลับมา

เหล่าสยงรออยู่นานแล้ว พูดพลางยิ้มตาหยี “ดึกป่านนี้ฉู่ขวงโทรมาหานายมีเรื่องอะไร”

“ผมกำลังจะมารายงานอยู่พอดีครับ”

หยางเฟิงถาม “ช่วงนี้เบื้องบนมีแผนจะเทคโอเวอร์สำนักพิมพ์หลิงชวนเหรอครับ”

เหล่าสยงพูด “มีแผนนี้อยู่นะ”

ในฐานะหัวหน้าบรรณาธิการ เขาเองก็พอจะได้ยินมาบ้าง

หยางเฟิงพยักหน้า “คืองี้ครับ พี่สาวของฉู่ขวงทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์หลิงชวน เขากังวลว่าหลังจากที่สำนักพิมพ์หลิงชวนถูกเราเทคโอเวอร์แล้ว พี่สาวจะตกงาน ดังนั้นเลยถามผมว่าพอจะช่วยได้มั้ย แต่บ.ก.ตัวเล็กๆ อย่างผมอำนาจมีจำกัด ผมก็เลย…”

เหล่าสยงตกใจจนสะดุ้งโหยง “นายปฏิเสธเขา?”

หยางเฟิงรีบโบกมือกล่าว “เปล่านะครับ ผมบอกว่าจะไปช่วยถามให้…”

“อ้อ พี่สาวเขาชื่ออะไรล่ะ”

“หลินเซวียน”

เหล่าสยงพรูลมหายใจ “ได้ พวกนายกินไป ฉันจะไปโทรศัพท์ก่อน”

เหล่าสยงก็เดินเลี้ยวมุมออกมา

สายของเขาโทรหาบรรณาธิการบริหาร

เรื่องการจัดการทรัพยากรบุคคลของบริษัท ลำพังหัวหน้าบรรณาธิการอย่างเขาเข้าไปสอดมือไม่ได้

โทรศัพท์ต่อสายติด เหล่าสยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผมมีเรื่องเล็กน้อยจะมารายงานบ.ก.บริหารน่ะครับ”

ปลายสายถาม “เรื่องอะไร”

เหล่าสยงเล่าเรื่องพี่สาวของฉู่ขวงคร่าวๆ รอบหนึ่ง

บรรณาธิการบริหารเงียบไปหลายวินาที ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “เมื่อกี้คุณบอกว่ามีเรื่องเล็กน้อยจะมารายงานไม่ใช่หรือ”

เหล่าสยงตอบ “ใช่ครับ”

บรรณาธิการบริหารถาม “ใช่เหรอ?”

เมื่อหลี่ว์เป่ยเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นในสมอง ปัญหาไม่ใช่เพราะหลี่ว์เป่ย แต่เป็นเพราะหลี่ว์เป่ยคิดว่าเหล่าสยงมีปัญหา

……

สามวันให้หลัง

สำนักพิมพ์หลิงชวน

ในตอนนี้บริษัทแห่งนี้ถูกซื้อกิจการไปเป็นที่เรียบร้อย สถานที่แห่งนี้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะส่งคนมาดูแลต่อ เหลือเพียงสิบคนที่ไม่ถูกไล่ออก แต่กลับถูกโยกย้ายไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

หลินเซวียนก็เป็นหนึ่งในสิบคนนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับอีกเก้าคนซึ่งตื่นเต้นและตั้งหน้าตั้งตาคอยกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ในใจของเธอกลับสับสนอยู่บ้าง ทำไมฉันที่เพิ่งผ่านช่วงฝึกงานมาได้ไม่นานถึงไม่ถูกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไล่ออกกันนะ

ต้องอธิบายก่อน

ว่าสิบคนที่ได้อยู่ต่อ นอกจากหลินเซวียนแล้ว อีกเก้าคนที่เหลือล้วนเป็นบุคลากรระดับสำคัญ ในนั้นรวมไปถึงบรรณาธิการบริหารหนึ่งคน หัวหน้าบรรณาธิการสองคน และบรรณาธิการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอยู่ในวงการมาเกือบสิบปีและดูแลนักเขียนฝีมือดีมาก่อนอีกหกคน!

อีกเก้าคนก็งุนงงเช่นเดียวกัน

เมื่อหลินเซวียนยืนเทียบกับอีกเก้าคน ก็แลดูไม่เข้าพวกจริงๆ นั่นแหละ บรรณาธิการซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าหลินเซวียนถูกไล่ออกไป ทำไมหลินเซวียนยังเข้ามาเป็นหนึ่งในสิบของรายชื่อคนที่ได้เข้าไปทำงานในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้

“ได้เข้ามาแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก”

หานเซี่ยวบรรณาธิการบริหารกล่าวกับหลินเซวียน “เธอได้อยู่ต่อก็น่าจะเป็นเพราะทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับบ.ก.มือใหม่ล่ะมั้ง ถึงยังไงเธอก็ผ่านการฝึกงานมาแล้ว ด้านการทำงานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

ทุกคนต่างพยักหน้า

จะว่าไปเรื่องนี้ก็อธิบายได้

หัวหน้าบรรณาธิการทางด้านซ้ายยิ้มเอ่ย “ที่สำคัญก็คือบ.ก.บริหารหานคุณมีอิทธิพลมากพอในวงการ ตอนแรกพวกเราคิดว่าจะต้องนั่งรถไปรายงานตัวที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเอง นึกไม่ถึงว่าทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูถึงกับบอกว่าจะส่งรถมารับพวกเรา”

หานเซี่ยวพยักหน้าอย่างไว้ตัว

เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง สำนักพิมพ์หลิงชวนและคลังหนังสือซิลเวอร์บลูไม่มีคุณสมบัติจะไปเทียบเคียงกันได้เลย แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่บริษัทถูกซื้อกิจการไป คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะยังให้ความนับถือต่อบรรณาธิการบริกหารอย่างตนมากเช่นนี้

“เหมือนรถจะมาแล้วนะ!”

บรรณาธิการบริหารอีกคนหนึ่งดวงตาเป็นประกาย “บ.ก.บริหารมีหน้ามีตาใช้ได้เลยนะครับเนี่ย คลังหนังสือซิลเวอร์บลูถึงกับส่งรถที่ดีขนาดนี้มารับพวกเรา รถหรูระดับวีไอพีคันนี้พวกเราเคยดูอยู่ แถมยังเป็นรุ่นที่เพิ่มความยาวด้วยนะครับ ถ้าเงินไม่ถึงสิบล้านซื้อไม่ได้นะเนี่ย!”

ส่งรถหรูสิบล้านมารับพวกเรา

หานเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ฉันมีหน้ามีตาขนาดนั้นเลยเหรอ?

คลังหนังสือซิลเวอร์บลูนี่ใช้ได้เลยนะ!

ท่านยกดินแดนให้แก่ข้า ข้าย่อมปูนบำเหน็จให้อย่างงาม!

ในตอนนั้นมีคนสามสี่คนลงมาจากรถ ผู้ที่นำมาก็คือตัวแทนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ท่าทีของอีกฝ่ายไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งที่ตนเป็นตัวแทนจากบริษัทใหญ่เลย “ทุกท่านเป็นคนของสำนักพิมพ์หลิงชวนใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ”

หานเซี่ยวก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว

ตัวแทนจากคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมองทุกคน สายตาไปหยุดอยู่ที่หลินเซวียนสักสองวินาที ก่อนจะพูดว่า

“เชิญขึ้นรถครับ”

ทุกคนขึ้นรถไปด้วยกัน หลินเซวียนเองก็ตามขึ้นรถไปด้วยความสับสน ด้านข้างเป็นเสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นของเพื่อนร่วมงาน

“บ.ก.บริหารหานหน้าใหญ่เกินไปแล้ว!”

“ไม่รู้ว่าพอถึงคลังหนังสือซิลเวอร์บลูแล้วบ.ก.บริหารหานจะได้จัดให้อยู่ตำแหน่งไหน ดูจากสวัสดิการในตอนนี้แล้ว น่ากลัวว่าต้องไม่ธรรมดาแน่!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน