ตอนที่ 144 ฟังอีกครั้งกลับเข้าไปอยู่ในบทเพลง
ผู้ว่าจ้างที่ร่วมงานกับสตาร์ไลท์มิวสิกมีชื่อว่าบริษัทเกมเมิ่งหลง และเกมของออเดอร์นี้มีชื่อว่า ‘จอมยุทธ์’
เมิ่งหลงเป็นบริษัทเกมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เกมที่ชื่อว่าจอมยุทธ์นี้ เป็นเพียงหนึ่งในโปรเจ็กต์ขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่แผนกของพวกเขารับผิดชอบพัฒนาขึ้น
ในตอนนั้นเอง
แผนกพัฒนาเกมจอมยุทธ์ของเมิ่งหลง
เฉิงเฟยฝานเกมไดเร็กเตอร์ตบลงบนโต๊ะ “เกมกำลังจะทำการทดสอบแล้ว แต่พวกคุณบอกผมว่าดนตรีประกอบของด่านที่ห้ายังทำไม่เสร็จ?”
“เรากำลังเร่งพวกเขาอยู่ครับ”
ลูกน้องซึ่งรับผิดชอบฝ่ายดนตรีเอ่ยด้วยสีหน้าละอายใจ “ใครจะไปคิดล่ะครับว่าพวกเขาจะพึ่งพาไม่ได้แบบนี้ ผมคิดว่าถึงยังไงพวกเขาก็เป็นบริษัทย่อยของสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ ไม่ว่ายังไงมาตรฐานก็ไม่มีทางแย่ไปกว่ากัน เดี๋ยวผมจะต้องไปคิดบัญชีกับเขา”
“เลี้ยงเสียข้าวสุก!”
เฉิงเฟยฝานโทสะพลุ่งพล่าน “ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้หาข้อมูลให้ดีก็ไปร่วมงานกับพวกเขา พวกคุณจงใจเลือกเพราะราคาถูกหรือเปล่า กินค่าคอมมิชชันไปเท่าไหร่ล่ะ”
“เปล่านะครับ!”
ผู้รับผิดชอบเรื่องดนตรีได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็พลันซีดเผือด พูดตะกุกตะกักว่า “ไดเร็กเตอร์ ผมเปล่าเลยนะครับ ตอนแรกพวกเรายืนยันเป็นมั่นเหมาะ ในสัญญายังใส่เงื่อนไขชดเชยหากทำผิดสัญญามาด้วย ถ้าพวกเขาทำผลงานที่ตรงกับความต้องการของเราไม่ได้ พวกเราก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากพวกเขา ผมเห็นว่าพวกเขาถึงกับกล้าเขียนสัญญาที่ค่าเสียหายไม่น้อยแบบนี้ เลยคิดว่าพวกเขาจะทำงานได้สำเร็จจริงๆ!”
เฉิงเฟยฝานรู้สึกปวดกะโหลกเหลือเกิน “เมิ่งหลงเป็นบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ยังจะโลภอยากได้เงินค่าชดเชยน้อยนิดเท่าขี้มดของพวกเขาอีกเรอะ!”
ฝั่งซ้ายของเฉิงเฟยฝาน
รองไดเร็กเตอร์เองก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ “ต่อไปห้ามร่วมงานกับบริษัทนี้อีก ลากลงแบล็กลิสต์ไปเลย!”
“รับทราบ!”
ผู้รับผิดชอบเรื่องดนตรีพยักหน้า จากนั้นก็พูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผมจะไปเร่งพวกเขาเดี๋ยวนี้เลย บอกว่าถ้าวันนี้ยังไม่ได้งาน ผมจะยกเลิกสัญญาครั้งนี้ ให้พวกเขาชดเลยค่าเสียหายให้เรา!”
เฉิงเฟยฝานไม่ได้พูดอะไร
ผู้รับผิดชอบเรื่องดนตรีกดโทรศัพท์ ขณะที่กำลังจะระเบิดโทสะ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน “ส่งเพลงใหม่มาแล้วเหรอครับ อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ ถ้าครั้งนี้ยังใช้ไม่ได้ละก็ สัญญาของพวกเราคงเป็นอันต้องยกเลิกนะครับ อีกอย่างหนึ่งคือพวกเราจะบอกให้ทั้งวงการรู้ว่าบริษัทของคุณนั้นแย่ขนาดไหน!”
พูดจบ ผู้รับผิดชอบฝ่ายเพลงก็ตัดสายทิ้งอย่างเดือดดาล
เขามองไปยังเฉิงเฟยฝานอีกครั้ง
ท่าทางของเขากลับมาเจียมเนื้อเจียมตัวอีกครั้ง “ไดเร็กเตอร์ครับ พวกเขาส่งเพลงมาแล้ว ผมจะไปฟังดู…”
“เปิดตรงนี้เลย”
เฉิงเฟยฝานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีเงียบกริบราวจักจั่นในฤดูหนาว พยักหน้าหงึกๆ ประหนึ่งยอมรับโชคชะตา กดเปิดอีเมลดูก็เห็นผลงานใหม่ของสตาร์ไลท์มิวสิก
เพลงมีชื่อว่า ‘ยุทธจักรยิ้มเย้ย’
ถ้าเพลงนี้ใช้การไม่ได้ วันนี้ชีวิตตนคงจบไม่สวยแน่
เมื่อนึกถึงหลายเพลงที่สตาร์ไลท์มิวสิกส่งมาก่อนหน้านี้ ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีก็คิดขึ้นมาทันที…
วันนี้ตนคงถึงคราวเคราะห์ของจริงแล้ว
“ชักช้าอยู่ทำไมล่ะ”
แววตาของเฉิงเฟยฝานกวาดคมกริบราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีคลิกปุ่มเล่นเพลงด้วยมืออันสั่นเทา
เฉิงเฟยฝานเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เพลงเสียงเบาขนาดนี้จะให้ผมฟังยุงบินหรือไง!”
ผู้รับผิดชอบฝ่ายเพลงปรับเพิ่มเสียงในโทรศัพท์เป็นสูงสุดอย่างตื่นตระหนกจนมือไม้เป็นพัลวัน พร้อมทั้งเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับเครื่องเสียงในห้องประชุม แต่กลับไม่ทันระวัง ปรับเสียงไปถึงตำแหน่งสูงสุด
ในตอนนั้นทำนองอินโทรเพิ่งจบลง
ผู้รับผิดชอบเพลงปรับเสียงให้ดังสูงสุดอย่างกะทันหัน บวกกับเอฟเฟ็กต์ของเครื่องเสียงนั้นดีเป็นทุนเดิม พลอยให้ท่อนขับร้องสามสี่ประโยคแรกของเพลงยุทธจักรยิ้มเย้ยดังกระหึ่มขึ้นมาราวกับเสียงฟ้าร้อง
‘ยุทธจักร ยิ้มเคืองขัด
ดวลแลกหมัด ยิ้มซ่อนมีด
เย้ยโลกีย์ ไร้ไมตรี
จิตใจนี้ สูงเกินคว้า…’
เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันนั้นทำให้ทุกคนตื่นตระหนก รู้สึกเพียงว่าแก้วหูถูกระเบิดดังหวึ่งๆ
“งี่เง่า!”
รองไดเร็กเตอร์หัวใจเต้นระส่ำ ขณะที่กำลังจะตวาดใส่ผู้รับผิดชอบฝ่ายเพลง เขาก็พบว่าเฉิงเฟยฝานลุกพรวดขึ้นยืน
“นี่มัน…”
ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีหาปุ่มปรับเสียง
เฉิงเฟยฝานกลับโพล่งขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน”
หากสายธารารินไหลไม่รั้งรอท่า เช่นนั้นการท่องไปทั่วทั้งใต้หล้า ไม่ว่าจะสักกี่ปี ข้าก็ต้องตามหาเจ้าให้พบ และบอกกับเจ้าว่า
คนที่ข้ารักก็คือเจ้า หาใช่เพราะเจ้าเหมือนนาง แต่เป็นเพราะเจ้าคือเจ้า
เรื่องนี้เฉิงเฟยฝานเป็นคนเขียนขึ้น
มาจากความฝันในวัยเด็กของเขาว่าจะได้ออกท่องยุทธภพ และเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่อาจเปิดเผยกับใครได้
เมื่อทำเกมจอมยุทธ์นี้เสร็จ เฉิงเฟยฝานไม่ได้รู้สึกว่าตนทำความฝันให้เป็นจริงได้สำเร็จเลย
ทว่าเมื่อได้ฟังเพลงนี้ จู่ๆ เฉิงเฟยฝานก็รู้สึกว่าเรื่องราวนี้ได้ถูกเติมเต็มแล้ว
“ยุทธจักร รักโบยบิน”
“เพลงประโคม เมรัยริน”
“ลืมแล้วสิ้น ยิ้มเย้ยฟ้า”
“ปล่อยหัวใจพัดพา กับสายลม…”
ยามที่ชายหนุ่มกลับมา จอนผมของนางก็เริ่มมีสีขาวแซม แต่ดวงหน้าของนางยังเหมือนเดิม งดงามประดุจภาพเขียนดังที่ผ่านมา
เฉิงเฟยฝานพลันรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว
ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจความหมายในบทเพลง ฟังอีกครั้งกลับเข้าไปอยู่ในนั้น[1]
ยามที่เพลงค่อยๆ จบลง
นอกจากแก้วหูที่ปวดหนึบ ในใจของผู้คนก็ยังรู้สึกสะเทือนไปด้วย และเมื่อทุกคนสังเกตเห็นขอบตาอันแดงก่ำของเฉิงเฟยฝาน ต่างคนต่างก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ไดเร็กเตอร์คะ ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
เฉิงเฟยฝานโบกมือ เอ่ยตอบ “เอาเพลงนี้แหละ ชื่อเพลงว่าอะไรนะ”
ผู้รับผิดชอบฝ่ายดนตรีรีบตอบสุดเสียง “ยุทธจักรยิ้มเย้ยครับ!”
เมื่อเทียบกับความรู้สึกของคนอื่นซึ่งสดับฟังเพียงอย่างเดียว เขากลับเข้าถึงและซาบซึ้งในคุณภาพระดับสูงในด้านเทคนิคการสร้างสรรค์บทเพลง ผ่านความสามารถในสายอาชีพของตน
“ยุทธจักรยิ้มเลยเชียวหรือ…”
เฉิงเฟยฝานสีหน้าซับซ้อน ก่อนออกไปจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้า “บริษัทนี้ร่วมงานต่อได้ ตอนส่งมอบงานอย่างเป็นทางการช่วยไปบอกแทนผมที ว่าขอบคุณสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้”
……………………………………………………
[1] ฟังครั้งแรกไม่เข้าใจความหมายในบทเพลง ฟังอีกครั้งกลับเข้าไปอยู่ในนั้น เปรียบเปรยว่าถ้าหากมีประสบการณ์กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะเข้าถึงหรือสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเรื่องนั้นได้ง่ายกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอน 837-839 ไม่มีข้อความเลยครับ...