Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 152

สรุปบท ตอนที่ 152 ระยะห่างระหว่างเรา: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 152 ระยะห่างระหว่างเรา – Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet

บท ตอนที่ 152 ระยะห่างระหว่างเรา ของ Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ในหมวดนิยายการเงิน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 152 ระยะห่างระหว่างเรา

หลินเยวียนกลับบ้านไป ก็พบว่าบนโต๊ะมีเนื้อสเต็กสองชิ้นวางอยู่โดยปิดอย่างมิดชิด

“กลับมาแล้วเหรอ”

วันนี้เป็นวันเสาร์

เจี่ยนอี้กำลังนั่งเล่นเกมออนไลน์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนกลับมา เขาก็ไม่ได้เล่นเกมต่อ ถอดหูฟังออกเอ่ยว่า “วันนี้โชว์ให้นายเห็นฝีมือการย่างเนื้อสเต็กของฉันละ”

“ลำบากแล้ว”

หลินเยวียนหัวเราะ เดินกลับไปยังห้องนอนของตน

ในห้องครัวมีเสียงดังมา เห็นได้ชัดว่าเจี่ยนอี้เริ่มลงมือย่างเนื้อสเต็กแล้ว

หลินเยวียนหยิบเอกสารออกมา

อ่านรายละเอียดของออเดอร์ใหม่

นี่เป็นการสั่งทำเพลงประกอบซีรีส์เรื่องหนึ่ง ซีรีส์มีชื่อว่า ‘ระยะห่างระหว่างเรา’

การสรุปพล็อตเรื่องนับว่าละเอียดใช้ได้ ประมาณห้าร้อยตัวอักษร

หลินเยวียนอ่านชื่อเรื่องเพียงอย่างเดียวยังคิดว่านี่เป็นซีรีส์แนวไอดอลซะอีก แต่เมื่ออ่านโดยละเอียดแล้วก็พบว่าไม่ใช่

ถึงแม้ทิศทางการดำเนินเรื่องจะคล้ายกับซีรีส์แนวไอดอลอยู่บ้างก็ตามแต่

ตัวละครชายและหญิงเป็นคู่รักที่ทุกคนล้วนอิจฉาในช่วงมหาวิทยาลัย ในปีที่เรียนจบ ทั้งสองคนก็แต่งงานกัน

เนื่องจากสถานะทางการเงินย่ำแย่ หลังจากแต่งงานแล้ว ชีวิตของสองสามีภรรยาจึงเต็มไปด้วยความยากเข็ญ

แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองก็ยังคงรักใคร่กลมเกลียว ความลำบากไม่อาจเข้ามากล้ำกราย

หลายเดือนผ่านไป ฝั่งชายหนุ่มเผชิญกับการเลิกจ้างพนักงานของบริษัท และตกงาน เขาจึงเกิดความคิดจะสร้างธุรกิจด้วยตนเอง

ปรากฏว่าธุรกิจล้มเหลว มีหนี้สินมหาศาล จนเจ้าหนี้ตามมาถึงบ้าน

ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความไม่ลงรอยกันมีมากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วฝ่ายหญิงทนรับภาระไม่ไหว ตัดสินใจหย่าร้างกับฝ่ายชาย

หลายปีให้หลัง หญิงสาวซึ่งชีวิตยังคงลำบาก วิ่งเต้นหางานไปทุกที่ จนสุดท้ายก็ได้เข้าไปในบริษัทใหญ่ และได้พบกับตัวละครชายอีกครั้ง

ฝ่ายชายเป็นประธานกรรมการของบริษัทนี้

เรื่องราวหลังจากนี้ก็เดาได้ไม่ยากแล้ว

ฝ่ายชายเกลียดที่ตัวละครหญิงทิ้งตนไปในยามที่ตนยากจนข้นแค้นที่สุด ฉะนั้นจึงจงใจรับฝ่ายหญิงเข้าทำงาน โดยมีเป้าหมายว่าจะกลั่นแกล้งทรมานเธอ

ตัวละครหญิงก็เพียรพยายามกล้ำกลืนฝืนทน

และเมื่อเรื่องราวดำเนินไป ฝ่ายชายก็พบว่า ฝ่ายหญิงมีลูกชายคนหนึ่ง

ฝ่ายชายไฟริษยาสุมอกอย่างไม่อาจห้ามได้ ยิ่งกลั่นแกล้งทรมานฝ่ายหญิงมากขึ้นไปอีก

จนกระทั่งครั้งหนึ่ง เขาหาข้ออ้างให้ฝ่ายหญิงทำงานล่วงเวลา ทว่าลูกชายของฝ่ายหญิงกลับมีไข้ขึ้นสูง ความขัดแย้งของทั้งสองก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง

ฝ่ายชายกลับค้นพบด้วยความบังเอิญ หลายปีที่ผ่านมาฝ่ายหญิงไม่ได้มีรักใหม่…

ลูกชายของฝ่ายหญิง อาจเป็นลูกของเขา

ฉะนั้นความรู้สึกของเขายังซับซ้อนขึ้นมา

พล็อตเรื่องหลังจากนี้ ก็คือฝ่ายชายค่อยๆ ค้นพบความยากลำบากและความจริงของฝ่ายหญิงยามที่หย่าร้างกัน

เขาหวนนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน แม้ว่าจะยากจน แต่กลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

เป็นตนเองที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนท้ายที่สุดก็ทำลายครอบครัวนี้

ฝ่ายหญิงเลี้ยงดูลูกโดยลำพังมานานหลายปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมาขอเงินจากตนสักแดงเดียว

ในตอนนั้นที่เลิกรากันไป แม่ของเขาต้องการเงินค่ายารักษาโรค มีคนบริจาคเงินมาให้ ที่แท้ก็เป็นฝ่ายหญิงที่มอบให้…

เมื่อเข้าใจเรื่องราวต่างๆ แล้ว

เขาก็ตัดสินใจตามหญิงสาวกลับมา

และในตอนนั้น ก็มีผู้ชายคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น หนำซ้ำยังตกหลุมรักตัวละครหญิง

พล็อตเรื่องหลังจากนี้ก็คือทารุณภรรยาเพื่อความสะใจ พอตามไปง้อภรรยากลับไม่สนใจ รวมไปถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์อันซับซ้อน

เนื้อเรื่องไม่ได้เขียนตอนจบเอาไว้

แต่หลินเยวียนก็พอจะเดาเรื่องราวได้

บทของเรื่องนี้เรียกได้ว่าซ้ำซากจำเจทีเดียว แต่ในเรื่องก็ยังแฝงไปด้วยความเป็นจริง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างแจ่มชัด

เจตนาของบทซีรีส์ น่าจะใช้เรื่องราวและจังหวะในชีวิตจริง มาถ่ายทำเป็นซีรีส์ซึ่งมีพล็อตค่อนไปทางแนวไอดอล…

ทั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ทั้งมีความเป็นซีรีส์แนวไอดอลอยู่ด้วย

หญิงชายต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง ต่างคนต่างมีความลำบากของตนเอง ยากจะตัดสินว่าใครถูกใครผิด

โดยเฉพาะเมื่อในบทเขียนว่า

หลังจากตัวละครหญิงตัดสินใจหย่าร้างแล้ว ก็พยายามไล่ตามความฝันของตน แต่กลับพบว่าตนตั้งครรภ์แล้ว เธอจำเป็นต้องอุ้มท้องรอจนให้กำเนิดลูก และละทิ้งความฝันของตนอีกครั้ง

สอดคล้องกับเงื่อนไขด้วยซ้ำไป

ส่วนปัญหาเรื่องคุณภาพ หลินเยวียนไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย คุณภาพของเพลงนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วในอีกมิติหนึ่ง

หลินเยวียนกดฟังทั้งสองเวอร์ชันอย่างละรอบ

ทั้งสองเวอร์ชันล้วนไม่เลวเลย เวอร์ชันผู้ชายชอกช้ำระกำใจ ส่วนเวอร์ชันผู้หญิงยังระคนความหวังเส้นบางๆ

“กินข้าวได้แล้ว!”

เมื่อฟังเพลงจบ เสียงของเจี่ยนอี้ก็ดังมาจากด้านนอก

หลินเยวียนลุกขึ้นยืน เดินออกไปยังห้องรับแขก

บนโต๊ะมีสเต็กวางอยู่สองชุด ทางขวาของสเต็กก็ยังมีไข่ยางมะตูมวางอยู่อีกสองใบ

ทอดไข่ได้ไม่เลวเลย

แต่สเต็กทั้งสองชิ้นหน้าตาราวกับผ่านศึกมาอย่างโชกโชน หลินเยวียนคิดว่าสเต็กของตนดำอยู่สักหน่อย มุมด้านข้างเป็นรอยไหม้เกรียมอย่างเห็นได้ชัด มิน่าล่ะในบ้านถึงมีกลิ่นไหม้

“กินเลย”

เจี่ยนอี้กระแอมเสียงหนึ่ง “ใครจะไปคิดว่าจะยากขนาดนี้ ฉันดูเชฟย่างสเต็กในวีดิโอ ยังคิดว่าง่ายซะอีก”

“…”

หลินเยวียนรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย

เจี่ยนอี้เบ้ปาก “หรือว่าเราสั่งเดลิเวอรีดี เหมือนจะมีร้านสเต็กอยู่นะ ฉันทำสเต็กนี้ไหม้ไปแล้ว น่าเสียดาย ฉันเสียเงินค่าเนื้อสเต็กสองชิ้นนี้ไปตั้งห้าร้อยกว่าหยวน”

พูดพลาง เจี่ยนอี้ก็เตรียมเก็บสเต็กไปทิ้ง

ทันใดนั้นหลินเยวียนก็รั้งมือของเขาไว้ “เสียดายของ”

เจี่ยนอี้ชะงักไป หลินเยวียนนั่งลงหน้าโต๊ะแล้วจึงหยิบส้อมและมีดออกมา ก้มหน้าก้มตากิน

“ซาบซึ้งใจสุดๆ เลยละเพื่อนรัก!”

เจี่ยนอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ และลงมือกินส่วนของตนเอง ส่วนของเขายิ่งสภาพแย่กว่าหลินเยวียนซะอีก ด้านซ้ายสุกเต็มที่ ส่วนด้านขวากลับยังมีหยดเลือดซึมอยู่

“ทำไมไม่มีรสชาติเลยล่ะ”

“เหมือนจะลืมใส่เครื่องปรุงแฮะ…”

……………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน