Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 183

สรุปบท ตอนที่ 183 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

สรุปตอน ตอนที่ 183 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง – จากเรื่อง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet

ตอน ตอนที่ 183 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง ของนิยายการเงินเรื่องดัง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 183 เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง

ขั้นตอนการเตรียมงานส่วนมากจะรีบเร่งเกินไปไม่ได้ ฉะนั้นหลังจากที่กองถ่ายแบ่งภาระหน้าที่ของทีมงานแล้ว การเตรียมการจำเป็นจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่นักเขียนบทอย่างหลินเยวียนจะต้องกังวล เพราะโปรดิวเซอร์และผู้กำกับรับผิดชอบงานเหล่านี้ไปแล้ว

นี่น่าจะเป็นข้อดีของการเป็นนักเขียนบท

ตอนนั้นก็ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์แล้ว เทศกาลตรุษจีนซึ่งมีเพียงปีละครั้งกำลังเริ่มต้นขึ้น

นี่เป็นเทศกาลตรุษจีนครั้งแรกหลังจากที่ฉินโจวและฉีโจวผนวกรวมกัน บรรยากาศแลดูคล้ายกับว่าจะคึกคักกว่าปีก่อนหลายส่วน อีกทั้งแม่ของหลินเยวียนถูกรับตัวมาถึงเมืองซู และได้เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับลูกๆ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ระหว่างรับทานอาหารด้วยกันในคืนข้ามปี

หลินเซวียนก็พูดหว่านล้อมมารดาอย่างไม่ยอมแพ้ ว่าต่อไปให้พักอยู่ที่เมืองซู ไม่ต้องกลับไปทำงาน ด้วยฐานะของหลินเยวียนในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้แม่ไปหลังขดหลังแข็งลำบากหาเงินแล้ว

แม่ลังเลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง

ทั้งครอบครัวอยู่ในเมืองซู ต่อให้เธอจะคิดถึงบ้านเกิดแค่ไหน ก็ไม่สามารถฝืนทนต่อความรู้สึกปรารถนาที่จะกลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาได้

แม่พยักหน้า ทำให้ลูกๆ รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา

แถมยังเป็นเทศกาลตรุษจีนด้วย!

เรื่องกระบี่เทพสังหารภายใต้นามปากกาฉู่ขวงของหลินเยวียน ก็ดำเนินมาถึงตอนจบในที่สุด

แต่ต่อให้เป็นบรรยากาศของเทศกาลตรุษจีน ก็ไม่ได้บรรเทาความเดือดดาลของผู้อ่านให้เบาบางลงเลย

เพราะจวบจนตอนอวสานของเรื่องกระบี่เทพสังหาร นักอ่านก็ยังคงเฝ้ารอฉาก ‘ปี้เหยาฟื้นคืนชีพ’ ที่พวกเขาคอยเฝ้าภาวนา!

‘อยากจะทุบเจ้าแก่ฉู่ขวง!’

‘ช่วงตรุษจีนแต่ฉันดันหัวร้อน!’

‘ไหนบอกไม่ใช่เหรอว่าปี้เหยาจะฟื้นคืนชีพ ถ้ารู้แต่แรกฉันเทนิยายไปตั้งแต่ปี้เหยาตายแล้ว อย่างน้อยก็ยังพอจะมีความทรงจำดีๆ เก็บไว้บ้าง’

‘ตอนสุดท้ายอย่างน้อยจางเสี่ยวฝานก็ได้มาเจอกับเสวี่ยฉีแล้ว…’

‘เขาทำแบบนี้ได้ยังไง ต่อไปผมไม่กล้าอ่านหนังสือของฉู่ขวงแล้วเนี่ย’

‘ครั้งหน้าถ้าฉู่ขวงจะเขียนให้ใครตายอีก บ.ก.ต้องช่วยหยุดเจ้าแก่คนนี้ด้วยนะครับ!’

‘…’

แน่นอนว่าไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ ลึกๆ ในใจของผู้อ่านก็ยังยอมรับเรื่องกระบี่เทพสังหารอยู่ดี

เพราะก่อนหน้านี้ความตายของปี้เหยาได้ทำให้ผู้อ่านรู้สึกหัวใจสลายมาครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นการที่นางไม่ฟื้นจากความตายในตอนจบของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ก็เพียงแต่ทำให้ในใจของผู้อ่านเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาอีกเล็กน้อยเท่านั้น

ในเว็บไซต์ทางการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู

ในช่องแสดงความคิดเห็นเรื่องกระบี่เทพสังหาร มีคำพูดของนักอ่านท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างมีเหตุผลมาก

‘ถ้าปี้เหยาฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ความรู้สึกใจสลายของผู้อ่านอย่างพวกคุณจะหายไปทันทีเลยหรือเปล่าคะ

คำตอบก็คือไม่หาย

เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนก็อาจกลับเข้าสู่วงจรเดิม การฟาดฟันอย่างดุเดือดระหว่างแต่ละทีมย่อมกลับมาอีกครั้ง

เถียงกันเรื่องสรุปว่าจางเสี่ยวฝานจะเลือกปี้เหยาหรือเลือกเสวี่ยฉี

ถึงแม้จะมีพื้นที่สำหรับฮาเร็ม แต่เรื่องกระบี่เทพสังหารก็บรรยายสตรีทั้งสองไว้ดีเหลือเกิน

ก็เพราะว่าเขียนไว้ดีนี่แหละ ถึงไม่มีทางใส่ฮาเร็มลงไปในพล็อตเรื่องได้เลย

เพราะไม่ว่าจะเป็นปี้เหยาหรือเสวี่ยฉี ก็ล้วนไม่ได้มีนิสัยและท่าทีว่าจะยอมแบ่งปันจางเสี่ยวฝานกับใคร ถ้าทั้งสองคนยอมครองคู่กับจางเสี่ยวฝานพร้อมกัน ก็จะกลายเป็นการดูหมิ่นตัวละครอย่างหนึ่งนะคะ

อย่างน้อยฉันก็คิดว่า…ตัวละครเรื่องนี้ไม่บ้ง

ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่สุดท้ายแล้วฉู่ขวงตัดสินใจไม่คืนชีพปี้เหยาขึ้นมา

มักจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้เสมอ

ปี้เหยาตายอยู่ใต้หมึกปากกาของเจ้าแก่ฉู่ขวง แต่มีชีวิตอยู่ในหัวใจผู้อ่านเสมอ นี่ก็เป็นตอนจบที่ดีนะคะ’

โพสต์นี้มียอดไลก์เป็นจำนวนมาก

และเนื่องจากการผนวกรวมกันของฉินและฉี นักอ่านจากมณฑลฉีจำนวนมากก็อ่านเรื่องกระบี่เทพสังหาร

ดังนั้นพวกเขาจึงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกก่อนหน้านี้ของนักอ่านจากมณฑลฉิน

ฝั่งหนึ่งก่นด่า

ฝั่งหนึ่งยอมรับ

ทว่าหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้นักอ่านจากมณฑลฉีได้รู้จักกับนักเขียนนิยายแฟนตาซีของมณฑลฉินอย่างฉู่ขวงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ทั้งสองพื้นที่ควบรวมกัน ฉู่ขวงก็เป็นนักเขียนกลุ่มแรกๆ ที่นักอ่านจากมณฑลฉีจดจำได้!

……

นี่เป็นตอนจบบริบูรณ์ของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป

นิยายเรื่องนี้แม้ว่าจะไม่ได้ผ่านการแก้ไขความยาวของเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อยก็ยังเขียนออกมาได้ยาวกว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส

เรื่องบางเรื่องเมื่อมีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งต่อไปก็ไม่ได้เหลือรับถึงขนาดนั้น

ถึงอย่างไรครั้งนี้หยางเฟิงก็ทำใจยอมรับความจริงที่ว่า เรื่องกระบี่เทพสังหารจะจบลงได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้หยางเฟิงยังคงคิดว่า ถ้าหากนิยายเรื่องนี้เขียนต่อไป จะต้องกอบโกยรายได้ได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน

ใครใช้ให้ฉู่ขวงไม่สนใจเงินทองของนอกกายแบบนี้ล่ะ

ถ้าจะให้รู้สึกเสียดายที่เรื่องกระบี่เทพสังหารจบบริบูรณ์ ไม่สู้เอาเวลาไปสนใจผลงานเรื่องต่อไปของฉู่ขวงจะดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้หยางเฟิงจึงเรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

หลังจากหลินเยวียนได้รับข้อความ เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า ‘หนังสือเรื่องใหม่รอสักระยะแล้วจะส่งให้นะครับ’

‘ครับ’

หยางเฟิงไม่ได้พูดอะไรมาก

แม้ว่าเขาแทบอยากจะให้ฉู่ขวงเตรียมหนังสือเรื่องใหม่ไว้เดี๋ยวนี้เลยให้รู้แล้วรู้รอด แต่การผลิตผลงานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จกันในชั่วข้ามคืน หลังจากที่เขียนหนังสือเล่มเก่าเสร็จและหยุดพักสักระยะก็นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ คนเราต้องมีพักสมองกันบ้าง นักเขียนทุกคนก็ทำเช่นนี้

สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือ ‘ผลงานชิ้นต่อไปของอาจารย์ฉู่ขวงเป็นหมวดไหนครับ’

‘ไม่รู้ครับ’

หลินเยวียนตอบไปด้วยความสัตย์จริง

หยางเฟิงพลันตกอยู่ในความเงียบงันทันทีที่เห็นคำตอบของหลินเยวียน

ผ่านไปนานโข กว่าเขาจะเอ่ยถามขึ้น ‘จะเขียนเทพเซียนกำลังภายในต่อหรือเปล่าครับ’

‘ยังไม่รู้ครับ’

หลินเยวียนยังคงตอบไปเหมือนเดิม เขาไม่รู้จริงๆ เรื่องนี้ต้องรอดูสิ่งที่เรียกว่าการผลิตแบบสุ่มของระบบว่าจะมอบผลงานอะไรมาให้

‘โอเคครับ’

หยางเฟิงจนปัญญา

หลังจากความโชติช่วงของเรื่องกระบี่เทพสังหาร ในตลาดก็เกิดกระแสเทพเซียนกำลังภายใน นักเขียนชื่อดังรุ่นเก๋าถึงกับเลือกตามกระแสของฉู่ขวง หนำซ้ำยังปรากฏผลงานใหม่แนวเทพเซียนกำลังภายในที่ยอดเยี่ยมออกมาอีกเป็นจำนวนมาก!

การบุกเบิกตลาดนิยายหมวดใหม่ของฉู่ขวงในครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าแนวการแข่งขันกีฬาซะอีก!

นั่นทำให้สมญานาม ‘ผู้บุกเบิก’ ของฉู่ขวงตราตรึงในใจของผู้คนยิ่งขึ้น

ถึงกับที่มีบรรณาธิการในวงการพูดติดตลกว่า

นิยายสองแนวที่ฉู่ขวงสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น หล่อเลี้ยงชีวิตนักเขียนนับไม่ถ้วน

ลองนึกถึงนักเขียนเฮ่อหมิงเซวียนที่โด่งดังเป็นพลุแตกขึ้นมาเพราะนิยายแนวกีฬาบาสเกตบอล…

เขาก็เริ่มต้นเพราะตามกระแสของฉู่ขวงไม่ใช่หรือ

แต่ถึงอย่างไรหลินเยวียนก็ไม่ได้ใช้เงินไปกับของแบบนี้หรอก ระบบรอของค้างสต็อกไปก็แล้วกัน

มีเพียง ‘แคปซูลความทรงจำ’ ที่ไปเตะตาหลินเยวียนเข้า

จะไม่ให้เตะตาเขาได้ยังไง ก็ช่วงนี้ต้องถ่ายภาพยนตร์ หลินเยวียนเป็นมือใหม่ที่มีความรู้พื้นฐานด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ระดับงูๆ ปลาๆ ถ้าอยากให้กองถ่ายดำเนินการไปในทิศทางที่เขาต้องการ เขาจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นถึงจะถูก

ดังนั้นในช่วงนี้เขาถึงอ่านตำราเกี่ยวกับภาพยนตร์อยู่ตลอด

แต่ลำพังการอ่านตำรานั้นประสิทธิภาพต่ำเกินไป แถมไม่ใครอธิบายให้ฟัง ฉะนั้นหลินเยวียนคร่ำเคร่งศึกษาอยู่ตั้งนานหลายวัน บางครั้งคิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว แต่เมื่อลองขบคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าตนไม่เข้าใจอะไรเลย

จะทำยังไงดีน่ะหรือ

กินแคปซูลความทรงจำ!

ราคาของไอเทมพิเศษแต่ละชิ้นแตกต่างกันออกไป แคปซูลความทรงจำหนึ่งเม็ดราคาขายคือสองแสนหยวน ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลินเยวียนไม่มีทางสนใจแน่นอน

แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน หลังจากหาเงินมาได้ ก็ยากที่จะข่มกลั้นความรู้สึกอยากใช้เงิน

หลินเยวียนรู้สึกว่าตนก็คือคนที่หลังจากหาเงินมาได้แล้วก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากใช้เงิน

เขาถึงกับซื้อแคปซูลความทรงจำจากระบบ!

ขณะที่สั่งซื้อแคปซูลความทรงจำจากระบบ ในใจของหลินเยวียนพร่ำสะกดจิตตนเอง

‘เสียเงินไปแต่ได้ของดีมา’

‘มีได้ก็ต้องมีเสีย’

‘เงินทองเป็นของนอกกาย’

‘ผู้หญิงที่ฉลาด…ผู้ชายที่ฉลาดเขาก็เปย์ให้ตัวเองกันทั้งนั้น’

‘ในตำรามีโฉมตรู ในตำรามีโฉมตรู[1]’

‘…’

การสะกดจิตแล้วซ้ำเล่าไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่ หลินเยวียนรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับถังปั๋วหู่ทะเลาะกับหวาฮูหยิน[2] ในเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ

‘ท่านซื้อสิ!’

‘เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าซื้อหรือไง’

‘กล้าซื้อท่านก็ซื้อเลยสิ!’

‘ซื้อก็ซื้อ!’

‘ซื้อให้ข้าดูตอนนี้เลยสิ’

‘ซื้อให้เจ้าดูตอนนี้เลย…เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง จะให้ซื้อ? ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!’

อึก

ระบบราวกับกลายร่างเป็นถังปั๋วหู่ รีบยัดเเคปซูลความทรงจำลงคอหลินเยวียนทันที ในที่สุดหลินเยวียนก็ซื้อไปแล้ว

ช่วยไม่ได้

สิ่งที่ควรทำ สุดท้ายก็ต้องทำ

ครั้งเดียวก็น่าจะถอนทุนคืนได้แล้ว!

หลินเยวียนทุ่มสุดตัวแล้ว เขาถึงขั้นรีบเปิดหนังสือเล่มแรกในมือ บากบั่นตั้งใจซะยิ่งกว่าตอนเรียนกับหยางจงหมิงซะอีก…

………………………………………………

[1] ในตำรามีโฉมตรู มาจากภาษิตโบราณว่า ‘ในตำรามีบ้านช่อง ในตำรามีโฉมตรู’ เปรียบเปรยว่าถ้าหากตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ภายภาคหน้าย่อมประสบความสำเร็จและมั่งคั่งร่ำรวย

[2] ถังปั๋วหู่ทะเลาะกับหวาฮูหยิน เป็นฉากที่ถังปั๋วหู่กับหวาฮูหยินทะเลาะกันว่ายาพิษของสกุลใครร้ายแรงกว่ากัน ถังปั๋วหู่จึงหยิบยาออกมา ท้าทายและถกเถียงกันอยู่นานว่าจะกินหรือไม่กิน จนสุดท้ายแล้วถังปั๋วหู่ยัดยาใส่ปากของหวาฮูหยิน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน