Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 184

ตอนที่ 184 ตลกแบบบอกไม่ถูก

การเติมเกมซื้อไอเทมนั้นมีอยู่สองประเภท คือไม่ซื้อเลยและซื้อไม่หยุด

ตั้งแต่ตกลงไปอยู่ในเส้นทางการสั่งทำผลงานของระบบ หลินเยวียนก็ปลดผนึกการซื้อไอเทม

และเมื่อเขาได้สัมผัสกับความสุขที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทุกอย่างหลังจากนั้นก็เอ่อท้นทะลักทลายอย่างไม่บันยะบันยัง

เมื่อปลดผนึกแล้วก็ไม่มีวันย้อนกลับไปได้อีก

ความสุขของหลินเยวียนคืออะไรน่ะหรือ

ก็คงจะเป็นคนอื่นทำโจทย์เขาอ่านหนังสือ

สิ่งที่คนอื่นอ่านอยู่นานกว่าจะเข้าใจ หลินเยวียนมองปราดเดียวก็กระจ่าง

เขาเปิดหนังสือผ่านๆ จริงๆ

ในมือมีผลงานชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า ‘หลักการถ่ายทำภาพยนตร์’ เขาอ่านจบแล้ว และเข้าใจได้ทันที

สิ่งที่เรียกว่าแคปซูลความทรงจำ ที่แท้ก็ไม่ได้เพียงแค่เพิ่มความทรงจำของหลินเยวียน ทำให้หลินเยวียนจำสิ่งที่มองผ่านตาได้อย่างแม่นยำ ขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มความสามารถในความเข้าใจของหลินเยวียนอีกด้วย ทำให้หลินเยวียนเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านทั้งหมดอย่างถ่องแท้

ในตอนนั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็กระจ่างขึ้นมาว่าทำไมน้องสาวถึงมีความสุขจากการอ่านหนังสือได้เหมือนเวลากินไข่แดง

นั่นเป็นความสุขของความสำเร็จ

ดังนั้นในช่วงเวลาหลังจากนี้ หลินเยวียนผ่านไปได้ด้วยเงินที่จ่ายไปอย่างเจ็บปวด และการร่ำเรียนอย่างมีความสุข

จนกระทั่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศก็เปิดกล้องถ่ายทำอย่างเป็นทางการ หลินเยวียนยังคงหยุดก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนไม่ได้

ห้วงมหรรณพแห่งความรู้ด้านการถ่ายทำภาพยนตร์เต็มเปี่ยม

ต่อให้หลินเยวียนทุ่มจ่ายเงินไปรวมแล้วหลายล้าน และคร่ำเคร่งอ่านหนังสืออยู่หลายวัน ก็ไม่กล้าบอกว่าตนรู้ทุกอย่าง

เขารู้สึกว่าความรู้ที่เขามีอยู่นั้นยังไม่เพียงพอ

แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หยุดเรียนชั่วคราว และเข้าร่วมพิธีเปิดกล้องอย่างเป็นทางการของภาพยนตร์เรื่องนี้

ไม่มีนักข่าวและแสงแฟลช

สิ่งที่เรียกว่าพิธีเปิดกล้อง หนีไม่พ้นโปรดิวเซอร์และผู้กำกับที่ผลัดกันกล่าวปาฐกถาก็เท่านั้น เมื่อทั้งสองพูดจบ ก็มองไปยังหลินเยวียน

ความหมายก็คือ ตัวแทนหลินจะพูดสักหน่อยไหมครับ

หลินเยวียนหยุดคิด ก่อนจะหยิบไมโครโฟนขึ้นมา “ทุกคนสนุกกันเต็มที่นะครับ”

อี้เฉิงกงหลุดหัวเราะออกมาทันที

ส่วนเสิ่นชิงและคนอื่นๆ มีสีหน้าพิลึก

ทางบรรดานักแสดงก็หัวเราะออกมา ยังไม่ทันเริ่มถ่ายทำ บรรยากาศก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายส่วนแล้ว

และความรู้สึกมีชีวิตชีวานี้ก็ถึงกับลากยาวไปจนถึงระหว่างการถ่ายทำอย่างเป็นทางการ…

เมื่อเฮ่อเซิ่งเล่นตอนแรกตามบท ซึ่งก็คือตอนที่ถังปั๋วหู่ขับร้องบทคลาสสิกนี้ออกมา

“ก็ปีกไก่ตุ๋นนี้หนาข้าชอบกิน…”

มีคนร้องรับ “แต่แม่เจ้าบอกว่าเจ้ากำลังจะสิ้นใจ…”

ร้องต่อไปไม่ไหว

นักแสดงต่างก็ไม่รอด พากันหลุดหัวเราะออกมา

ในชีวิตจริงมีใครพูดแบบนี้บ้าง พูดอยู่ดีๆ ก็ร้องออกมาเป็นเพลง

แถมยังร้องซะมีจังหวะรับส่งกันซะขนาดนั้น?

ต้องขอเกริ่นก่อนว่า บทของเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศนั้นสมบูรณ์มาก สมบูรณ์ถึงขั้นที่หลินเยวียนเองก็ชื่นชอบจังหวะของบทเหมือนกัน

หลายคนดูเรื่องนี้แล้วน่าจะต้องมีหลุดขำกันบ้างแหละน่า

แต่มีคนน้อยนักที่จะรู้ว่า เนื้อร้องท่อนนี้มีต้นฉบับมาจากเพลงบทแรกในองก์สองของเรื่องตูรันโดต์[1]

สูงส่งล้นฟ้า เพียงแต่ถูกโจวซิงฉือนำมาดัดแปลงจนตลกขบขัน

ไม่เพียงแค่ตอนนี้

ในตอนหลังที่ถังปั๋วหู่ปลอมตัวไปเป็นบ่าวรับใช้ในจวนสกุลหวา และเคาะถ้วยชามร้องเพลง ‘ที่บ้านข้ามีเรือนมีไร่นา[2]’ ทำนองนี้ก็มาจากสักคอนเสิร์ตหนึ่งของฝั่งตะวันตก

โจวซิงฉือช่ำชองการหยิบทำนองเพลงมาดัดแปลงเนื้อจนกลับตาลปัตรและตลกขบขัน

ดังนั้นบทของเรื่องนี้ ถ้าจะต้องสั่งทำ ลำพังเพลงพวกนี้ หลินเยวียนคงต้องควักเงินก้อนโตแน่นอน

ยังดีที่นี่เป็นบทภาพยนตร์ชิ้นแรก ดังนั้นระบบจึงแพ็กรวมส่งมอบให้มาทีเดียวในรูปแบบของภารกิจ

……

เสิ่นชิงคลึงขมับ แต่กลับไม่ได้พูดอะไร แรกเริ่มเดิมทีนี่ก็เป็นภาพยนตร์ที่แปลกบอกไม่ถูกอยู่แล้ว เขาในฐานะโปรดิวเซอร์ก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน