Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 292

สรุปบท ตอนที่ 292 หนาวเหน็บและอบอุ่น: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

สรุปตอน ตอนที่ 292 หนาวเหน็บและอบอุ่น – จากเรื่อง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet

ตอน ตอนที่ 292 หนาวเหน็บและอบอุ่น ของนิยายการเงินเรื่องดัง Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 292 หนาวเหน็บและอบอุ่น

โอกาส!

จู่ๆ ก็มีคำนี้ปรากฏขึ้นในห้วงสำนึกของเซินเจียรุ่ย

ไม้ตายของฉู่ขวงคืออะไรน่ะหรือ?

ถูกต้องแล้ว ท่าไม้ตายของฉู่ขวงก็คือเรื่องสั้นมักมีตอนจบซึ่งอยู่เหนือความคาดหมาย หรือไม่ก็สะเทือนขวัญอยู่เสมอ!

เมื่อเผชิญหน้ากับตอนจบเช่นนี้ เมื่อผู้อ่านอ่านจนถึงตอนสุดท้าย ก็มักจะตบโต๊ะฉาดอย่างทนไม่ไหว!

และนิยายประเภทนี้ก็มักจะได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้อ่าน

เพราะมันกระตุ้นความตื่นเต้นของผู้อ่านได้อย่างเต็มที่!

ดังนั้นนิยายประเภทนี้ จึงเป็นประเภทของผลงานที่เหมาะกับการช่วงชิงรางวัลบนแพลตฟอร์มต่างๆ มากที่สุด

เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องราวประเภทบทบรรยาย กลับมีผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เพราะความตื่นเต้นชวนลุ้นระทึกนั้นน้อยกว่าผลงานซึ่งมีจุดหักมุมมาก

“หรือว่าฉู่ขวงตั้งใจทดลองรูปแบบการเขียนใหม่ๆ”

เซินเจียรุ่ยคาดการณ์ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปใส่ใจเรื่องนี้อีก ถึงขั้นที่รู้สึกตื่นเต้นกับผลงานของฉู่ขวงด้วยซ้ำ

ในเมื่อฉู่ขวงไม่ได้เขียนงานประเภทที่สันทัดมากที่สุด เช่นนั้นเขาก็คิดว่าครั้งนี้ตนอาจมีโอกาสโต้กลับจริงๆ!

ในใจพลันเกินความคิดนี้ขึ้นมา

เขายังคงอ่านต่อไป [“คือว่า…บะหมี่หยางชุน…หนึ่งชาม…ได้ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เด็กชายสองคนซ่อนอยู่ด้านหลังมารดา ลอบมองเถ้าแก่เนี้ยะอย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นเดียวกัน]

ฉากหลังคือร้านบะหมี่เป่ยไห่ในคืนส่งท้ายปี

ผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคนเข้ามาในร้านบะหมี่ แต่กลับสั่งบะหมี่หยางชุนแค่ชามเดียว?

ไม่ต้องวิเคราะห์ก็รู้ ว่าครอบครัวนี้ใช้ชีวิตอยู่อย่างอัตคัด

แต่ฉากต่อไปอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน

[บะหมี่ถูกตระเตรียมไว้บนเขียงแต่แรก กองพะเนินราวภูเขาขนาดย่อม หนึ่งกองสำหรับหนึ่งที่ เถ้าแก่กอบบะหมี่ และใส่เพิ่มลงไปอีกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะใส่ทั้งหมดลงในหม้อพร้อมกัน เถ้าแก่เนี้ยะสังเกตเห็นว่าสามีตั้งใจเพิ่มบะหมี่ให้กับสามแม่ลูก]

เถ้าแก่คนนี้เป็นคนดี

เขามองออกว่าแม่ลูกทั้งสามคนนี้ยากจน จึงจงใจเพิ่มบะหมี่ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย

ทันทีที่บะหมี่หยางชุนร้อนๆ หอมกรุ่นมาถึงโต๊ะ สามแม่ลูกก็ล้อมวง ลงมือกินในทันที

มุมปากของเซินเจียรุ่ยยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ในห้วงสำนึกมีภาพของแม่ลูกทั้งสามคนกินบะหมี่

[“อร่อยมากเลย!” พี่ชายบอก]

[“แม่กินสิครับ!” น้องชายคีบบะหมี่ขึ้นมาป้อนให้มารดา]

หลังจากนั้น ช่วงเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ปีที่สอง

ในเวลาหลังสี่ทุ่มในคืนวันส่งท้ายปีเช่นเดียวกัน เมื่อร้านบะหมี่กำลังจะปิด ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

ผู้หญิงเดิมซึ่งสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว พาเด็กชายสองคนเข้ามา

“คือว่า…บะหมี่หยางชุนหนึ่งชาม…ได้ไหมคะ”

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะจำสามแม่ลูกได้ทันที ดังนั้นจึงพาทั้งสามคนไปยังโต๊ะหมายเลขสองเช่นเดียวกับปีที่แล้ว

เถ้าแก่หยิบบะหมี่หนึ่งก้อนครึ่งใส่ลงในหม้อเช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว

เถ้าแก่เนี้ยะจึงแนะนำอย่างอดไม่ได้ “นี่ พ่อ ทำให้พวกเขาไปเลยสามชามไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้หรอก”

เถ้าแก่ปฏิเสธเถ้าแก่เนี้ยะ “ถ้าทำแบบนั้น พวกเขาอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนใจได้”

เซินเจียรุ่ยสีหน้าเปลี่ยนไป

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะยังคงใจดีเหมือนเดิม

เถ้าแก่คำนึงถึงความรู้สึกของสามแม่ลูก เพราะฉะนั้นต่อให้อยากเพิ่มอีกสักหน่อยก็ต้องข่มกลั้นไว้

กินหมดแล้ว

จ่ายเงินค่าบะหมี่หยางชุนสิบห้าหยวน

เถ้าแก่เนี้ยะพูดไล่หลังสามแม่ลูก “ขอบคุณนะคะ ขอให้เป็นปีที่พบแต่เรื่องดีๆ!”

ต้องยอมรับว่า

เมื่ออ่านจนถึงตอนนี้ เซินเจียรุ่ยเริ่มสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะเจ้าของร้านบะหมี่แล้ว

หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

เซินเจียรุ่ยรู้สึกสงสัย

ร้านบะหมี่เป่ยไห่กิจการรุ่งเรื่องขึ้นทุกวัน จนคืนส่งท้ายปีของปีที่สามมาเยือน

วันเวลาผ่านไป

ร้านบะหมี่เป่ยไห่ดำเนินการปรับปรุงร้านอีกครั้ง เนื่องจากกิจการรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ล้วนเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ แต่กระนั้นโต๊ะหมายเลขสองยังคงเหมือนเดิม

สามีภรรยาเจ้าของร้านไม่เพียงไม่ได้รู้สึกว่าโต๊ะหมายเลขสองผิดแปลกไม่เข้าพวก มิหนำซ้ำยังจัดวางโต๊ะนี้ไว้กลางร้านอีกต่างหาก

มีลูกค้าถามถึงเหตุผล เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะก็มิได้ปิดบัง

ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวของโต๊ะหมายเลขสอง จึงทำให้โต๊ะหมายเลขสองกลายเป็น ‘โต๊ะแห่งความสุข’

ลูกค้าเล่าสู่กันฟังปากต่อปาก

มีบางคนที่อยู่ไกลออกไป แต่ก็ตั้งใจมาที่นี่

มีนักเรียนหญิง และมีคู่รักวัยรุ่นล้วนมาลิ้มลองบะหมี่หยางชุนที่โต๊ะหมายเลขสอง

โต๊ะหมายเลขสองจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยประการฉะนี้

จนกระทั่งสิบปีผ่านไป ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

ในครั้งนี้ พี่ชายและน้องชายต่างมีอนาคตที่สดใส แม่เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมตัวใหม่เอี่ยมในที่สุด

สามแม่ลูกตั้งใจเดินทางมาขอบคุณสามีภรรยาเจ้าของร้านโดยเฉพาะ

“เราสามแม่ลูกคือลูกค้าที่มากินบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามตอนคืนวันส่งท้ายปีเมื่อสิบสี่ปีก่อน ในตอนนั้น เป็นเพราะได้กำลังใจจากบะหมี่หยางชุนชามนั้น ทำให้พวกเราสามคนมีแรงฮึดสู้ ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้”

เซินเจียรุ่ยกัดริมฝีปากเบาๆ ราวกับกำลังพยายามข่มกลั้นความรู้สึก

ทว่าความพยายามทั้งหมด ล้วนพังทลายลงเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว

เพียงเพราะคำพูดอันแสนเรียบง่ายของผู้เป็นแม่

“เถ้าแก่ บะหมี่หยางชุนสามชามค่ะ”

ราวกับให้คำมั่นสัญญากันไว้เมื่อสิบปีก่อน

ในเรื่องนี้เขียนว่า [‘ได้สิ’ แม้จะอยากตอบกลับไปเช่นนี้ แต่เถ้าแก่ซึ่งน้ำตานองหน้ากลับไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้]

ไม่ใช่แค่ตัวละครในเรื่อง

เซินเจียรุ่ยเช็ดน้ำตา จู่ๆ เขาก็รู้สึก ว่าความหนาวเหน็บระลอกสุดท้ายแห่งฤดูกาล ก็พลันถูกกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิปัดเป่าไปเช่นเดียวกัน

…………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน