ตอนที่ 307 บทภาพยนตร์เรื่องที่สาม
ผลลัพธ์ของเอฟเฟ็กต์อาจารย์ทำให้หลินเยวียนพึงพอใจมาก เพราะในตอนนี้การสอนของเขามีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว
เดิมทีเฟิงซั่วและเซวียเหลียงจบหลักสูตรแล้ว และจัดอยู่ในระดับนักประพันธ์เพลงมือทอง
ต่อให้หลินเยวียนมีเอฟเฟ็กต์อาจารย์ ถ้าสอนต่อไป ความก้าวหน้าของทั้งสองคนย่อมมีขีดจำกัด
ทว่าหลังจากเอฟเฟ็กต์อาจารย์อัปเกรดแล้ว ทั้งสองคนเรียนกับหลินเยวียนต่อไป และคล้ายกับว่าพวกเขายังคงมีพื้นที่ในการพัฒนา!
ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง
ช่วงเวลาหลังจากนั้น หลินเยวียนดำเนินการสอนหลี่ลี่จื้อต่อไปด้วยท่าทีดุดันเข้มงวด
ระยะเวลาในการเรียนยังคงรักษาไว้ที่ครึ่งชั่วโมง
อีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ เขาใช้ไปกับการชี้แนะผลงานของเซวียเหลียงและเฟิงซั่ว ถึงอย่างไรก็ต้องนำเพลงของพวกเขามาให้ซุนเย่าหั่วและเจียงขุยขับร้อง
อีกด้านหนึ่ง
จินมู่ในฐานะผู้จัดการของฉู่ขวง ไปยื่นเรื่องขอเพิ่มภาษีลิขสิทธิ์กับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูอีกครั้ง หลังจากเรื่องฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์ประสบความสำเร็จ
หลังจากการเจรจา ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงส่วนแบ่งภาษีลิขสิทธิ์อีกครั้ง หลังจากนี้ภาษีลิขสิทธิ์ของฉู่ขวงจะถูกกำหนดไว้ที่สามสิบห้าเปอร์เซ็นต์!
จินมู่อุตส่าห์สืบค้นข้อมูลมา
นักเขียนระดับมหาเทพโดยทั่วไปจะได้ภาษีลิขสิทธิ์อยู่ที่ประมาณร้อยละสามสิบ ฉู่ขวงได้มาสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็เพราะฉู่ขวงมีฝีมือรอบด้าน!
เนื่องจากนักเขียนระดับมหาเทพส่วนมากจะเขียนเพียงแนวเดียว
ซึ่งแตกต่างจากฉู่ขวง นิยายของเขานั้นครอบคลุมหลากหลายประเภท ระยะหลังนี้เขาเริ่มก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่งวรรณกรรมสืบสวนสอบสวน ทั้งยังทำผลงานได้ดีทีเดียว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจึงปราศจากเหตุผลให้ไม่ยกระดับสัญญาของเขา
“หลังจากนี้คงทำให้สูงขึ้นกว่านี้ยากแล้วนะครับ”
จินมู่ตระหนักดี ว่าสัญญาฉบับนี้สูงมากแล้ว
นอกเสียจากว่าฉู่ขวงจะสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากหากต้องการยกระดับเงื่อนไขในสัญญา
“นอกเสียจากว่าหัวหน้าจะได้รับคัดเลือกเป็นเทพสูงสุดของนิยายหมวดแฟนตาซี”
นี่เป็นวิธีการยกระดับสัญญาของฉู่ขวงอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เท่าที่จินมู่จะคิดได้
ทว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยการสั่งสมคุณสมบัติ เวลา รวมไปถึงจำนวนของผลงาน
“ผมไม่รีบครับ”
หลินเยวียนไม่รีบจริงๆ ตอนนี้เขามีหลายตัวตน โอกาสในการหารายได้ก็มาก ทั้งหมดนี้ต้องปฏิบัติไปตามลำดับขั้นตอนก็ใช้ได้แล้ว
และขณะที่หลินเยวียนดำเนินไปตามขั้นตอน จู่ๆ เขาก็ได้รับข่าวหนึ่ง
ข่าวนี้กู้ตงเป็นคนบอกหลินเยวียน “ตัวแทนหลิน บริษัทส่งเรื่องนักปรับเสียงเปียโนเข้าชิงรางวัลดรากอนอวอร์ด เพิ่งได้รับแจ้งข่าวมาว่าหนังของเราได้เสนอชื่อเข้าชิงสามรางวัลค่ะ!”
“ดรากอนอวอร์ด?”
หลินเยวียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
รางวัลใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมดนตรีบนบลูสตาร์มีชื่อว่าสังคีตสมโภช และรางวัลใหญ่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หนีไม่พ้นดรากอนอวอร์ด
เมื่อก่อนเป็นเพราะการกีดกันทางวัฒนธรรม ทุกทวีปจึงมีรางวัลดรากอนอวอร์ดของตนเอง ต่างคนต่างมอบ
ทว่าปัจจุบันนี้ รางวัลดรากอนอวอร์ดของฉิน ฉี และฉู่นั้นมอบร่วมกัน
และตั้งแต่ที่หลินเยวียนเดบิวต์มา เขาได้รับรางวัลมากมายในฐานะนักเขียนและนักประพันธ์เพลง แต่ยังไม่มีอิทธิพลถึงขั้นได้รับรางวัลสูงสุด
เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมาเขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่
แต่ถ้าหากเป็นรางวัลระดับดรากอนอวอร์ด หลินเยวียนยังคงคาดหวังอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่สามทวีปผนวกรวมกันแล้ว มูลค่าของรางวัลนี้ก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้นไปอีก
กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ระดับรางวัลออสการ์บนโลกเลยล่ะ!
กู้ตงเองก็ตื่นเต้นมาก “เรื่องนักปรับเสียงเปียโนเข้าชิงสามสาขา แบ่งเป็นเพลงประกอบยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม แล้วก็บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมค่ะ! ถ้าได้เสนอชื่อเข้าชิงสามสาขา เราก็น่าจะมีโอกาสได้สักหนึ่งรางวัล”
“ครับ”
ถึงอย่างไรก็เป็นรางวัลสูงสุดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หลินเยวียนก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน
หากเป็นเมื่อก่อน หลินเยวียนย่อมไม่ใส่ใจรางวัลเหล่านี้อย่างแน่นอน
แต่อาจเป็นเพราะตอนนี้ทำเงินได้มากแล้ว การแสวงหาและทัศนคติต่อเรื่องเงินๆ ทองๆ ของหลินเยวียนจึงดีกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้เป็นโฮสต์หน้าเงินในสายตาของระบบอีกต่อไป
จะเห็นได้จากเมื่อหลินเยวียนสั่งผลิตผลงาน รวมไปถึงการสั่งซื้อไอเทมประเภทยาบำรุง เขาตรงไปตรงมามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และหลังจากที่หาเงินมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว หลินเยวียนคิดว่า ถ้าหากได้รางวัลมาอีกละก็ จะนับว่าผลงานได้รับการยอมรับขึ้นไปอีกขั้น
ในความจริงแล้ว เมื่อดรากอนอวอร์ดประกาศรายชื่อผลงานซึ่งได้รับคัดเลือก วันมอบรางวัลอย่างเป็นทางการก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ในแง่ของเวลา เรื่องนักปรับเสียงเปียโนนับว่าเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายซึ่งมาทันการคัดเลือกพอดิบพอดี
หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องรอเข้าร่วมการชิงชัยในปีหน้าแทน
……
และยามที่วันเวลาล่วงเลยเข้าสู่เดือนเมษายน ฤดูกาลการแข่งขันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ระดับความยากของฤดูกาลแข่งขันใหม่ คล้ายกับว่าจะต่ำกว่าสองเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย
เพราะเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ หลินเยวียนใช้เพลง ‘วิวาห์ในฝัน’ บดขยี้คนฉู่อย่างหนักหน่วง
เดือนมีนาคม หยางจงหมิงก็ใช้เพลงเปียโน ‘กระจกสี’ สั่งสอนคนฉู่อีกครั้ง ทำสถิติดับเบิลคิลล์ให้แก่สตาร์ไลท์ได้สำเร็จ!
จนถึงตอนนี้
คนฉู่ได้ละทิ้งความละโมบในเกียรติยศของมาตุภูมิแห่งดนตรีไปอย่างสิ้นเชิง ไม่คิดตามมาตอแยอีก!
ดังนั้น
ในฤดูกาลแข่งขันของเดือนสี่ จึงไม่ปรากฏภาพการโรมรันพันตูจนวุ่นวายของบรรดาราชาเพลงและพ่อเพลง
นี่เป็นโอกาสให้นักประพันธ์เพลงมือทองได้แสดงฝีมือ
และการแสดงฝีมือในครั้งนี้ เซี่ยนอวี๋ก็กลายเป็นที่สนใจจากในวงการอีกครั้ง!
ทำไมเซี่ยนอวี๋ซึ่งไม่ได้ปล่อยเพลงใหม่ แต่ยังได้รับความสนใจน่ะหรือ
เรื่องนี้ต้องเริ่มอธิบายจากนักประพันธ์เพลงสองคนซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรก
การจัดอันดับในเดือนนี้
เพลงซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 มีชื่อว่า ‘อาทิตย์อัสดง’ ขับร้องโดยซุนเย่าหั่ว ผู้ประพันธ์หลี่อวี๋!
เพลงซึ่งอยู่ในอันดับที่ 7 มีชื่อว่า ‘เจ้าหญิงราตรี’ ขับร้องโดยเจียงขุย ผู้ประพันธ์หมัวกุ่ยอวี๋[1]!
ในวงการนี้ต่างรู้กันว่า หลี่อวี๋เป็นลูกศิษย์ของเซี่ยนอวี๋
แต่ในวงการคาดไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะรับลูกศิษย์อีกคนหนึ่งด้วย
หมัวกุ่ยอวี๋!
แน่นอนว่าหมัวกุ่ยอวี๋เป็นชื่อที่เฟิงซั่วคิดขึ้นมาเอง
สิ่งที่ต่างไปจากเซวียเหลียงก็คือ เดิมทีเฟิงซั่วเป็นนักประพันธ์เพลงที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่แล้ว
เมื่อเขาปล่อยเพลงออกไป ก็ถือโอกาสประกาศบนปู้ลั่วว่าตนเป็นลูกศิษย์คนที่สองของเซี่ยนอวี๋ และใช้นามปากกาในฐานะนักประพันธ์เพลงว่า ‘หมัวกุ่ยอวี๋’
แรกเริ่มเดิมทีข่าวนี้ไม่ได้รับความสนใจมากนัก
แต่หลังจากเฟิงซั่วและเซวียเหลียงติดสิบอันดับแรกบนชาร์ตเพลงในเดือนนี้ ในวงการก็รู้สึกสะพรึงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน