สรุปเนื้อหา ตอนที่ 4 ผู้ช่วยงาน – Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน โดย Internet
บท ตอนที่ 4 ผู้ช่วยงาน ของ Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ในหมวดนิยายการเงิน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 4 ผู้ช่วยงาน
หกโมงเย็น
คลาสเรียนเพิ่งจบลง หลินเยวียนก็ได้รับข้อความที่เจี่ยนอี้ส่งมา “เย็นนี้ไปกินข้าวกันมั้ย ซย่าฝานเลี้ยงเลยนะ!”
‘ไม่ละ เย็นนี้ฉันมีธุระ นายไปกับซย่าฝานเถอะ‘
หลินเยวียนตอบข้อความในระหว่างที่เดินออกมานอกประตูวิทยาลัย และข้างถนนใกล้กับประตูวิทยาลัยก็มีรถเก๋งสีแดงคันหนึ่งกำลังจอดอยู่พอดี
“ไม่เจอกันนานเลยนะ ขึ้นรถมาเถอะ”
หน้าต่างฝั่งซ้ายของรถเก๋งสีแดงเลื่อนลงมา หญิงสาวคนหนึ่งหยิบแว่นตากันแดดออก พูดด้วยรอยยิ้มบางพลางโบกมือให้หลินเยวียน
“สวัสดีครับ”
หลินเยวียนเอ่ยทักทายเสร็จก็ขึ้นรถไป
ผู้หญิงคนนี้ก็คือผู้จัดการจ้าวเจวี๋ย เธอซึ่งปีนี้อายุสามสิบห้าเริ่มมีรอยคล้ายหางปลาจางๆ ปรากฏที่หางตา ยามแย้มยิ้มแลดูเป็นมิตรเข้าหาง่าย หากไม่ยิ้มจะดูเคร่งขรึมเย็นชา ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายทรงภูมิมากความสามารถ
“หลินเยวียน”
จ้าวเจวี๋ยมองหลินเยวียนซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง จ้าวเจวี๋ยเหยียบคันเร่ง “เพลงของเธอเหมือนว่าจะไม่มีเนื้อเพลง จะให้ฉันช่วยหาคนแต่งเนื้อเพลงให้ไหม เหลือเวลาอีกแค่สิบวันก่อนจะลงสนามในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แล้ว”
“ไม่ต้องครับ เนื้อเพลงเขียนเสร็จแล้ว”
“แล้วเรียบเรียงเพลง…เธอก็ทำเสร็จแล้ว?”
“อื้ม”
“เอาเถอะ” จ้าวเจวี๋ยยิ้มแย้ม “เธอรู้ไหมว่าอะไรคือการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในเดือนพฤศจิกายนทุกปี”
“อะไรเหรอครับ”
จ้าวเจวี๋ยขับรถเคลื่อนไปข้างหน้า “ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่เป็นแค่คำเรียกทั่วไป ที่จริงแล้วสิ่งที่แต่ละบริษัทแย่งกันอยู่ก็คือการจัดอันดับชาร์ตดาวรุ่งของฉินโจว ขอเพียงเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของชาร์ตดาวรุ่ง ถึงจะนับได้ว่าแจ้งเกิดแล้ว”
“อ้อ”
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่
จ้าวเจวี๋ยหยุดลงหน้าไฟแดง หันมามองหลินเยวียน “เพลงของเธอดีมาก ถ้าได้อันดับในชาร์ตดาวรุ่งตอนเดือนพฤศจิกายนดีละก็ ฉันก็จะช่วยเธอเปลี่ยนสัญญาไปยังฝ่ายประพันธ์เพลงได้”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนดวงตาเป็นประกาย
เขาอยากเติบโตในสายงานประพันธ์เพลง และนี่ก็เป็นสาขาที่เขากำลังเรียนอยู่ ไม่ต้องไปออกหน้าในวงการ แล้วก็ยังได้รับสิ่งที่เรียกว่าระดับความโด่งดังจากระบบด้วย
ในตอนนี้เอง
หลินเยวียนก็ได้ยินเสียงของระบบ “ติ๊งต่อง ยินดีกับโฮสต์ในการเริ่มภารกิจใหม่”
[ชื่อภารกิจ: เพลงแรก]
[เนื้อหาภารกิจ: อัดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ สำเร็จ]
[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งใบ]
ภารกิจก่อนหน้านี้ยังไม่ทันสำเร็จ นี่มีภารกิจใหม่มาอีกแล้ว?
เขามองตัวอักษรสามบรรทัดซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้า หลินเยวียนตื่นเต้นกับการอัดเพลงหลังจากนี้อยู่บ้าง เขาหวังว่าคืนนี้จะอัดเพลงสำเร็จ
……
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
หลินเยวียนก็มาถึงสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์
ที่นี่เป็นตึกสูงถึงห้าสิบชั้น ผู้คนที่ผ่านไปมาล้วนแต่สวมชุดทำงาน ที่หน้าอกต่างห้อยป้ายของแต่ละแผนกในสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ เป็นสไตล์ของบริษัทใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย
“สวัสดีพี่จ้าว”
จ้าวเจวี๋ยนับว่าเป็นคนสำคัญของบริษัท คนไม่น้อยที่ผ่านไปผ่านมาต่างออกตัวเอ่ยทักทาย
จ้าวเจวี๋ยตอบเพียงเล็กน้อยตามมารยาท แล้วพาหลินเยวียนตรงไปยังสตูดิโอชั้นเก้า
“พี่จ้าว!”
เมื่อเห็นจ้าวเจวี๋ย ผู้จัดการร่างท้วมคนหนึ่งซึ่งรออยู่แต่แรกแล้วก็ปรี่เข้ามาต้อนรับ “เซ็ตอุปกรณ์ไว้แล้วครับ”
“คนของเธอล่ะ”
จ้าวเจวี๋ยกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเพียงเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงาน
“เรื่องนั้น…”
ผู้จัดการร่างท้วมปาดเหงื่อบนหน้าผาก “รถติดนิดหน่อย เด็กใหม่เลยยังไม่มีใครมาถึง ฉันเร่งเจ้างั่งนั่นไปตั้งหลายรอบแล้วเนี่ย เดี๋ยวเขามาถึงฉันจะด่าให้ยับเลย!”
“รถติดแล้วออกก่อนเวลาไม่ได้เหรอ?”
จ้าวเจวี๋ยแววตาเย็นเยียบ “ถ้าเธอพาเด็กใหม่มาไม่ได้ก็ให้คนอื่นพามาแทน! เริ่มจับเวลาตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าภายในสิบห้านาทียังมาไม่ถึงก็เปลี่ยนคนมาร้องเพลงซะ ให้โอกาสแล้วยังไม่ได้เรื่อง!”
“ได้ๆๆ…”
ผู้จัดการร่างท้วมยิ้มวางหน้าไม่สนิท ใบหน้าขาวซีด หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมกดโทรเร่งด้วยมือสั่นเล็กน้อย ในใจก่นด่าเด็กใหม่ซึ่งมาสายคนนี้อย่างเจ็บแสบไปร้อยรอบแล้ว
ขณะนั้นเอง
หน้าประตูลิฟต์ก็มีหญิงสาวแต่งตัวเหมือนผู้ช่วยคนหนึ่ง วิ่งตรงมาทางจ้าวเจวี๋ย “พี่จ้าว ทางกรรมการผู้จัดการเรียกให้พี่ไปน่ะ…”
“เข้าใจแล้ว”
จ้าวเจวี๋ยกดขมับ รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง กรรมการผู้จัดการเรียกตนเอง ต้องเป็นเพราะเรื่องชาร์ตดาวรุ่งอีกแน่
ต้องโทษที่ตนเองย่ามใจเกินไป
ก่อนหน้านี้ถึงกับกล้าออกปากประกาศกร้าวต่อหน้าเหล่าบุคลากรระดับสูงของบริษัท
เมื่อมองไปยังใบหน้าไร้เดียงสาของตัวก่อเรื่องทั้งหมดอย่างหลินเยวียน จ้าวเจวี๋ยก็รู้สึกว่าไฟที่สุมอกอยู่นั้นมลายหายไป
เธอทำได้แค่ข่มกลั้นความสลดหดหู่ นัยน์ตาฉายแววตักเตือน พูดกับเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอซึ่งอยู่ด้านข้างและผู้จัดการร่างท้วม “หลินเยวียนเขียนเพลงนี้ ตอนอัดเสียงให้ยึดความเห็นของหลินเยวียนเป็นหลัก เข้าใจไหม”
“ได้ครับ/ค่ะ”
ผู้จัดการร่างท้วมและเจ้าหน้าที่สตูดิโอกลุ่มนี้ได้ยินดังนั้น ก็รีบพยักหน้าให้หลังจ้าวเจวี๋ย เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าขัดคำสั่งของจ้าวเจวี๋ย
หลินเยวียนก็พยักหน้ารับคำเช่นกัน
……
จ้าวเจวี๋ยมีธุระจึงออกไปแล้ว
ผู้จัดการร่างท้วมก็ลงไปคุยโทรศัพท์ชั้นล่าง
หลินเยวียนกับเจ้าหน้าที่สตูดิโอรออยู่ประมาณสิบนาที ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดลั่นดังมาแต่ไกล “มาช้าแค่นิดเดียว เธอก็พลาดโอกาสเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ได้เลยนะ ไม่รู้หรือไง! เธอรอเดบิวต์ในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่มาตั้งกี่ปีแล้ว ทำเอาฉันถูกพี่จ้าวหยุมหัวเอาด้วย ใครไม่รู้บ้างว่าช่วงนี้พี่จ้าวอารมณ์ไม่ดี เธอก็ดันทำอีก…”
“ผมผิดไปแล้ว พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว!”
วัยรุ่นรูปร่างไม่สูงคนหนึ่งขอโทษขอโพยอย่างเกรงใจและรู้มารยาทต่อหน้าผู้จัดการร่างท้วมซึ่งลงไปชั้นล่างเมื่อครู่ “ผมไม่คิดว่าปีนี้จะมีโอกาสได้เดบิวต์จริงๆ นี่ครับ! พี่วางใจเถอะ! วันนี้ผมรับรองว่าจะคว้าโอกาสนี้ ไม่ทำให้พี่เสียหน้า! ขอบคุณพี่ที่ช่วยผม ทำให้ผมได้เป็นคนสุดท้ายในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ครับ!”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว เตรียมตัวอัดเพลง”
ผู้จัดการร่างท้วมหันหลังไป เหมือนจะความดันขึ้นสูงจนต้องกดขมับตนเองอย่างแรง
เด็กหนุ่มพรูลมหายใจ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก สีหน้ากระวนกระวายระคนตื่นเต้น แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น จู่ๆ ก็เห็นผู้ชายตรงหน้ากำลังจ้องมองตนเองอยู่
“หลินเยวียน?”
เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้นหลายก้าว มองหลินเยวียนอย่างละเอียดชั่วขณะหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้จำคนผิด ก็พลันดีใจขึ้นมา “นายจริงๆ ด้วย นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง อ้อ ฉันรู้แล้ว นายมาทำงานพิเศษสินะ?”
หลินเยวียน “…”
เขากำลังเค้นสมองขบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกว่าคนคนนี้ออกจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าหลินเยวียนกำลังคิดอะไรอยู่
เขาเชิดหน้า ยืดออกขึ้น ตบบ่าของหลินเยวียนเบาๆ “ไอ้น้องเอ๊ย นายนี่มันสมแล้วที่เป็นเป็นรุ่นน้องที่มีพรสรรค์ที่สุดในสาขาการขับร้องของพวกเรา แค่ปีสองก็ถึงกับมารับงานพิเศษที่สตาร์ไลท์แล้ว…อ้อ นี่นายทำงานอยู่ในสตูดิโอเหรอ อย่างงั้นก็เรียกได้ว่าพี่กับนายก็เป็นกึ่งเพื่อนร่วมงานกันแล้วสิ!”
เขาหยิบแก้วเก็บความร้อนซึ่งใช้แขนหนีบไว้ออกมา ก่อนจะส่งให้หลินเยวียน
เด็กหนุ่มโบกมือ พลางบอก “ไปเติมน้ำมาให้รุ่นพี่สักแก้วก่อน เมื่อกี้รีบวิ่งมาตลอดทาง เหนื่อยแทบแย่แน่ะ แต่ว่าเหนื่อยก็ไม่เท่าไหร่หรอก ยังไงซะพออัดเพลงนี้เสร็จ พี่ก็จะได้เดบิวต์แล้ว!”
หลินเยวียน “…”
ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร
ซุนเย่าหั่วถอนหายใจ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องอัดเสียง ดื่มน้ำรวดเดียวดังอึกๆๆ จนหมด
ทันทีที่วางแก้วน้ำลง เขาก็เห็นหลินเยวียนรับแก้วน้ำมาอย่างเป็นปกติมาก จากนั้นก็เดินไปยังเครื่องกดน้ำ ก่อนกรอกน้ำใส่จนเต็มอีกครั้ง
กำลังเยาะเย้ยเขาอยู่?
ซุนเย่าหั่วน้ำเสียงหดหู่ลง “เอ่อ…รุ่น…อาจารย์หลิน…”
“เรียกผมว่ารุ่นน้องเถอะ”
หลินเยวียนเอ่ยพลางวางแก้วน้ำลง
ซุนเย่าหั่วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ยังไงเขาก็ชักสีหน้าไม่ได้ โอกาสเดบิวต์นี้เขารอมานานเหลือเกิน
เขาทำได้เพียงออกแรงหมุนปิดฝาแก้วน้ำอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เอ่อ…รุ่นน้องหลิน…ที่แท้นายก็แต่งเพลงได้…”
หลินเยวียนอธิบายไปว่า “ก่อนหน้านี้ผมป่วย ทำให้คอมีปัญหา ตอนขึ้นปีสองก็เลยย้ายไปอยู่สาขาการประพันธ์เพลงน่ะครับ”
ซุนเย่าหั่วนิ่งงันไป
ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ น้ำเสียงเห็นใจปนเสียดาย “น่าเสียดาย น่าเสียดาย น่าเสียดาย…”
เขาพูดว่า ‘น่าเสียดาย’ สามครั้งติดต่อกัน
เขาไม่อาจจินตนาการถึงตนเองที่ร้องเพลงไม่ได้
จากนั้นซุนเย่าหั่วก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตนนั้นไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ออกจะเลินเล่อไปหน่อย
ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ไม่ได้เป็นแค่รุ่นน้องแล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงนักแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลงที่กุมความเป็นความตายของเขาอยู่ และนี่คือเหตุผลที่เมื่อครู่หลินเยวียนสั่งโน่นสั่งนี่เขาได้!
หรือจะพูดได้ว่า
ถ้าหากหลินเยวียนยืนกรานที่จะเตะตนออกไป แล้วเปลี่ยนคนมาร้อง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ แทน เขาก็ไม่มีสิทธิ์โกรธ เพราะทุกอย่างก็เห็นได้ชัดจากท่าทีของผู้จัดการตนที่มีต่อหลินเยวียนแล้ว
โอกาสเดบิวต์ที่เขารอมาหลายปีนั้นอยู่ในกำมือของรุ่นน้องหลิน
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ มือซึ่งเขายื่นออกมาจะตบไหล่หลินเยวียนก็ชะงักค้างกลางอากาศด้วยความประดักประเดิด
“ไม่เป็นไร”
หลินเยวียนไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางของซุนเย่าหั่ว แน่นอนว่าถึงจะสังเกตเห็นก็คงไม่ได้ใส่ใจ เขาเพียงแต่พูดประโยคหนึ่งออกไปแทนเจ้าของร่าง “ขอบคุณครับ”
ซุนเย่าหั่วชะงักงัน
เมื่อมองไปยังดวงตาใสกระจ่างของหลินเยวียน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ารุ่นน้องตรงหน้าไม่ได้มีเจตนาเฉกเช่นที่เขาคิด อีกฝ่ายมองตนเองเป็นเพียงผู้ร่วมงานจริงๆ ก็เท่านั้น
เป็นเขาเองที่โลกแคบเกินไป
เขาผู้ซึ่งเข้าบริษัทมานานตั้งแต่เรียนจบ ถึงแม้จะยังไม่ได้เดบิวต์ แต่ในจิตสำนึกกลับแบ่งคนหลายชั้นต่างกันจึงค่อยคบหา
แรกเริ่มเดิมทีเขามองว่าตนเองเป็นรุ่นพี่ที่กำลังจะได้เดบิวต์ คิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ตนก็อวดเบ่งได้ ดังนั้นต่อให้เจตนาเดิมคืออยากดูแลอีกฝ่าย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นแสดงท่าทีภูมิอกภูมิใจแถมยังเจ้ากี้เจ้าการอีก
ภายหลังมองหลินเยวียนเป็นนักแต่งเนื้อร้องและทำนองเพลงผู้ยิ่งใหญ่ ตนก็ร่วงลงไปอยู่อีกระดับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว มักกังวลว่าอีกฝ่ายจะแกล้งตนเอง จึงวางท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัว
อันที่จริงทุกอย่างเป็นเพราะเขาคิดมากไปเอง
“รุ่นน้องหลิน!”
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง มือซึ่งค้างเท้งเต้งอยู่กลางอากาศก็ลดลงมาวางบนบ่าของหลินเยวียนอีกครั้ง การเคลื่อนไหวไม่แข็งทื่ออีกต่อไป “พวกเราเริ่มอัดเพลงกันเถอะ ครั้งนี้ฉันเตรียมตัวพร้อมแล้ว”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนลุกขึ้นยืนด้วยความคาดหวัง
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ รุ่นพี่ผู้ช่วยงานคนนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา แต่การอัดเสียงในรอบที่สองก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น หลินเยวียนรู้สึกพอใจมาก ถึงขั้นรู้สึกว่าการถูกผู้ช่วยงานหารเงินไปก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว
ถึงอย่างไรคนเขาก็พยายามอย่างหนัก
[ภารกิจสำเร็จ: เพลงแรก]
[รางวัลภารกิจ: กล่องสมบัติทองแดงหนึ่งกล่อง]
……………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอน 837-839 ไม่มีข้อความเลยครับ...