ตอนที่ 5 ฟ้าผ่าฝนพรำ
กล่องสมบัติทองแดง?
หลินเยวียนมองดูในคลังเก็บของ แล้วรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล “ในกล่องนี้คงไม่ได้มีระเบิดหรอกใช่ไหม”
ระบบไม่ได้ใส่ใจหลินเยวียน
เพื่อความปลอดภัย หลินเยวียนจึงอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงเปิดกล่องทองแดงใบแรกที่ตนได้รับ
[รางวัลภารกิจ: ฝีมือการเล่นเปียโนระดับเชี่ยวชาญ]
ชั่วขณะที่กล่องสมบัติทองแดงเปิดออก ในห้วงสำนึกของหลินเยวียนก็มีสกิลการเล่นเปียโนผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน
ทั้งอาเพจจิโอ[1]เอย เทรโมโล[2]เอย คอร์ด[3]เอย สตักกาโต[4]กับอ็อกเทฟ[5] รวมไปถึงเฮกซาคอร์ด[6] อะไรต่อมิอะไร
“แค่นี้?”
หลินเยวียนไม่ได้พอใจสักเท่าไหร่
เป็นเพราะเจ้าของร่างมีความสามารถการเล่นเปียโนในระดับสิบของบลูสตาร์เป็นทุนเดิม เรื่องนี้ไม่ได้ยากเย็นสำหรับเด็กที่มุ่งมั่นเดินเส้นทางสายดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก
สู้รางวัลเป็นเพลง นิยาย หรืออะไรเทือกนั้นไม่ได้เลย
ระบบเองก็เหมือนว่าจะไม่ได้พอใจกับท่าทีของหลินเยวียน มันตอบหลินเยวียนด้วยเสียงสังเคราะห์ของเครื่องจักรกลอย่างไร้อารมณ์สุดๆ “กล่องสมบัติแบ่งเป็นสี่ระดับ ทองแดง เงิน ทอง และเพชร แต่ว่าต่อให้เป็นกล่องสมบัติทองแดงซึ่งอยู่ระดับล่างสุด สิ่งที่ใส่ไว้ด้านในก็ย่อมมีมูลค่าระดับหนึ่ง”
“ฝีมือการเล่นเปียโนระดับเชี่ยวชาญคือระดับไหนเหรอ”
หลินเยวียนต้องเข้าใจชัดเจนเสียก่อนว่ามาตรฐาน ‘เชี่ยวชาญ’ ของระบบคืออะไร
ระบบตอบว่า “ระดับความสามารถการเล่นเปียโนที่โฮสต์มีในตอนนี้เป็นระดับที่คนธรรมดาแตะไม่ถึง ต่อให้เป็นนักเปียโนที่มีพรสวรรค์โดดเด่น อย่างน้อยก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักนับสิบปีจึงจะถึงระดับนี้ ส่วนความสามารถในการเล่นเปียโนระดับสิบที่โฮสต์พูดถึง นั่นมันระดับที่เด็กประถมก็เล่นได้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
“เอาเถอะ”
หลินเยวียนยอมรับผลลัพธ์นี้ เมินคำพูดประโยคสุดท้ายของระบบที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นการแดกดัน “แล้วระดับที่สูงกว่าระดับเชี่ยวชาญคืออะไรล่ะ”
“หลังจากเชี่ยวชาญแล้วก็เป็นระดับสุดยอด หลังจากระดับสุดยอดคือระดับปรมาจารย์ หลังจากนั้นอีกก็คือระดับสมบูรณ์แบบ เปรียบเทียบได้เป็นกล่องสมบัติเงิน กล่องสมบัติทอง แล้วก็ยังมีกล่องสมบัติเพชรอันล้ำค่า ซึ่งโฮสต์จำเป็นต้องใช้ความสามารถและโชคของตนกอบโกยขึ้นมาเอง โดยทั่วไปแล้วมีสองวิธีที่จะได้ของรางวัล วิธีแรกคือทำภารกิจที่ระบบมอบหมายให้สำเร็จ วิธีที่สองคือคะแนนรวมของความโด่งดังแตะถึงมาตรฐานที่กำหนด ตัวอย่างเช่นความโด่งดังของคุณรวมแล้วทะลุหมื่น”
“แล้วตอนนี้ฉันดังแค่ไหน”
ทันทีที่หลินเยวียนพูดจบ เบื้องหน้าก็ปรากฏตัวอักษรสีฟ้าขึ้นมาหลายบรรทัด
[อายุ: 19]
[อายุขัย: 22]
[จิตรกรรม: 45]
[วรรณกรรม: 105]
[ดนตรี: 2509]
[ภาพรวม: 2659]
[อื่นๆ : รอเปิดใช้]
คะแนนจิตรกรรมและวรรณกรรมสองประเภทนี้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่คะแนนด้านดนตรีกลับเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
น่าจะเป็นเพราะตนได้รับสกิลการเล่นเปียโนเพิ่มขึ้นมา อีกทั้งตอนที่อัดเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ก็ได้ชื่อเสียงเพิ่มมาอีกหน่อย
เห็นทีกว่าค่าความโด่งดังจะทะลุหมื่นก็คงต้องรอให้ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ปล่อยอย่างเป็นทางการก่อน
หลินเยวียนล้างมือแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
ในตอนนั้น คนจากแผนกการเงินและแผนกกฎหมายก็เดินมาด้วยกันเพื่อให้เขาเซ็นสัญญา การเซ็นสัญญาเพลงอย่าง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ นับว่าเป็นขั้นตอนทั่วไปอยู่แล้ว
ในสัญญาระบุว่า
หลังจากที่ ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ปล่อยออกไป แปดส่วนของรายได้ซึ่งเกิดจากเพลงนี้เป็นของบริษัท ที่เหลืออีกสองส่วนเป็นของหลินเยวียนและซุนเย่าหั่วแบ่งกัน
ในเงินจำนวนนี้ ซุนเย่าหั่วได้ 0.5 ส่วน
หลินเยวียนเขียนทั้งเนื้อร้องและทำนอง แถมยังเรียบเรียงเพลงคนเดียว จึงได้ 1.5 ส่วน
ซุนเย่าหั่วไม่มีความเห็น
เขาวางท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ได้มองการร้องเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ เป็นโอกาสหารายได้ แต่เขาคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ตนจะได้เดบิวต์ ฉะนั้นจึงเซ็นลงไปอย่างไม่ใส่ใจ
หลินเยวียนก็ไม่มีความเห็น
ถึงแม้ว่าเขาเองก็อยากได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ แต่เขาก็เหมือนกับซุนเย่าหั่ว อยู่ระดับเด็กใหม่ เด็กใหม่ไม่มีคุณสมบัติพอจะไปต่อรองสัญญากับบริษัทหรอก บริษัทอยากแบ่งอย่างไรก็แบ่งอย่างนั้นละ
มีแค่ตัวท็อปของวงการถึงจะทำให้บริษัทยอมอ่อนข้อเรื่องส่วนแบ่งได้
เมื่อเซ็นสัญญาเสร็จ
คนจากแผนกการเงินก็เตือนหลินเยวียนว่า “เพลงจะปล่อยในวันที่หนึ่งเดือนพฤศจิกายนนะ ครั้งนี้เพลงจะไปขึ้นในทุกช่องทางใหญ่ๆ ที่ร่วมงานกับบริษัท”
“ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า
หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เจ้าหน้าที่แผนกประชาสัมพันธ์ผลงานก็มาหาหลินเยวียน มีเอกสารที่ต้องเซ็น ในเอกสารจะให้หลินเยวียนกรอกข้อมูลบางส่วน
“เริ่มจากชื่อของคุณ”
เจ้าหน้าที่แผนกประชาสัมพันธ์ผลงานแนะนำขณะที่หลินเยวียนกรอกข้อมูล “ในช่องเนื้อเพลงกับดนตรี คุณเขียนชื่อของคุณไปได้เลย หรือจะใช้ชื่ออื่นอย่างนามปากกาก็ได้ แต่ว่าหลังจากเขียนไปแล้ว จะเปลี่ยนตามอำเภอใจไม่ได้”
“เซี่ยนอวี๋ ได้ไหมครับ”
“คุณจะไม่ใช้ชื่อจริงเหรอครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า เขาไม่อยากออกหน้าแสดงตัวตนต่อสาธารณะ เจียมตัวได้ก็เจียมตัวไว้เป็นดี
“ได้ครับ”
เจ้าหน้าที่หมายความว่าไม่มีปัญหา
จากนั้นหลินเยวียนก็เขียนคำว่า ‘เซี่ยนอวี๋’ ลงไปในช่องเนื้อร้องและทำนอง
ความทรงจำในโลกเดิมแม้จะเลือนราง แต่หลินเยวียนก็พอจะจำประโยคจากบทกลอนคลาสสิกได้บ้าง ตัวอย่างเช่นประโยคนี้
แทนที่จะรอปลา มิสู้กลับบ้านไปถักแห[7]
แต่ทำไม ‘เซี่ยนอวี๋’ ฟังดูแล้วคล้ายกับคำว่า ‘ปลาเค็ม[8]’ อยู่นะ
จากนั้น
บนเอกสารก็ให้หลินเยวียนกรอกเรื่องราวเบื้องหลังของการประพันธ์บทเพลง
หลินเยวียนตกอยู่ในห้วงความคิด
เจ้าหน้าที่เห็นหลินเยวียนลำบากใจ จึงพูดด้วยความคุ้นเคย “ไม่ต้องเครียด คุณเขียนไปสักสองบรรทัดก็ยังได้ อาจารย์นักแต่งเพลงท่านอื่นก็เขียนไปนิดเดียว ยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่ดี”
“อื้ม”
หลินเยวียนคิด ก่อนจะเขียนลงไปหนึ่งบรรทัดว่า ‘ให้ชีวิตตระการตาดั่งมวลผกายามคิมหันต์ ครั้นวายชีวันงามดั่งหมู่ใบไม้ในสารทฤดู’
นี่คือที่มาของชื่อเพลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน