ตอนที่ 410 เบื้องหลังของหลินเซวียน
วันรุ่งขึ้น
หลินเซวียนขับรถมายังบริษัท แตะบัตรขึ้นลิฟต์ด้วยบัตรของรองบรรณาธิการ เข้าไปยังแผนกนิทานซึ่งเพิ่งก่อตั้งในคลังหนังสือซิลเวอร์บลู
ในแผนก
พนักงานหลายคนกำลังห้อมล้อมและเอ่ยชื่นชมหญิงสาวแสนสวยผมยาวคนหนึ่ง
“รองหัวหน้าบ.ก.สุ่ย คุณได้ต้นฉบับจากอาจารย์หยวนหยวนมาได้ยังไงเหรอคะ”
“ต้นฉบับของอาจารย์หยวนหยวนได้มายากที่สุดในบรรดานักเขียนนิทานเลยนะครับ”
“ได้ยินว่าครั้งหน้าสำนักพิมพ์เฟลอริชจะรับต้นฉบับจากอาจารย์หยวนหยวน ผู้จัดการใหญ่จะออกโรงเอง”
“ปกตินะ เรื่องลูกหมูสามตัวของอาจารย์หยวนหยวนเป็นวัยเด็กของใครหลายคน”
“ต่อให้จนถึงทุกวันนี้ เรื่องลูกหมูสามตัวยังคงครองใจเด็กๆ นั่นทำให้สถานะของอาจารย์หยวนหยวนอยู่ในแนวหน้าของวงการนิทานด้วย”
“รองหัวหน้าบ.ก.สุ่ยสวยขนาดนี้ ต้องได้ต้นฉบับมาได้แน่”
“พอมีนิทานเรื่องยาวของอาจารย์หยวนหยวนแล้ว ในอนาคตรองหัวหน้าบ.ก.สุ่ยน่าจะเป็นแคนดิเดตคนเดียวที่ควรจะได้เป็นหัวหน้าบ.ก.”
“…”
หญิงสาวผมยาวรายล้อมไปด้วยฝูงชนยิ้มไปทั่วใบหน้าเมื่อทันใดนั้นเธอก็เห็นหลินเซวียนและเอ่ยทักทาย
“อรุณสวัสดิ์รองบ.ก.หลิน”
พนักงานในแผนกหันหลังไปมองหลินเซวียน สีหน้าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มทักทายในทันที
“อรุณสวัสดิ์ค่ะรองบ.ก.สุ่ย”
หลินเซวียนยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน แยกย้ายกันดีกว่า เตรียมตัวทำงาน”
ผู้คนกลับไปยังที่นั่งของตนอย่างรู้ตัว
หญิงสาวผมยาวซึ่งถูกเรียกว่ารองบ.ก.สุ่ยเดินไปข้างหลินเซวียน เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “รองบ.ก.หลินได้ต้นฉบับที่เหมาะสมหรือยังคะ”
“ยังขาดอีกเรื่องหนึ่งค่ะ”
หลินเซวียนเอ่ยอย่างหดหู่ใจ
หญิงสาวผมยาวเอ่ยเตือน “นิตยสารจะตีพิมพ์ก่อนสิ้นปี เหลือเวลาไม่มากแล้ว ถ้าหาต้นฉบับที่เหมาะสมไม่ได้ รองหัวหน้าบ.ก.หลินส่งมอบงานสุดท้ายให้ฉันก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันจัดการให้ เรื่องนี้เราต่างก็ทำกันเพื่อนิตยสารของเรา”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
หลินเซวียนพยักหน้า
หญิงสาวผมยาวยักไหล่ หันหลังเดินออกไป เพียงแต่ก่อนที่จะเดินออกไป มุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมา
“รองบ.ก….”
ชายศีรษะโล้นขยับเข้ามาข้างๆ หลินเซวียนอย่างระแวดระวัง สีหน้าแลดูผิดหวัง “เมื่อกี้ทางอาจารย์ฉีฉีปฏิเสธการส่งต้นฉบับให้เรา ว่ากันว่าจางหยางนัดรับต้นฉบับกับเธอไว้แล้ว”
ชายศีรษะโล้นมีชื่อว่าจางเฉิง เป็นอดีตหัวหน้าแผนกนิตยสารของหลินเซวียน ปัจจุบันนี้เป็นผู้ช่วยของหลินเซวียน
“ปฏิเสธอีกแล้วเหรอคะ”
“จางหยางรู้จักนักเขียนนิทานเด็กหลายคนเหมือนสุ่ยจูโหรวเหรอ”
สุ่ยจูโหรวคือหญิงสาวผมยาวเมื่อครู่นี้
เธอ หลินเซวียน และจางหยาง ทั้งสามคนคือรองหัวหน้าบรรณาธิการทั้งสามคนของแผนกนิทาน
ระหว่างทั้งสามคน คือความสัมพันธ์แบบแก่งแย่ง
จางเฉิงยิ้มขื่น “ครอบครัวของรองบ.ก.สุ่ยจูโหรวกับรองบ.ก.จางหยางมีภูมิหลังไม่ธรรมดา เป็นเรื่องปกติที่จะมีคอนเน็กชันแบบนี้ นักเขียนนิทานที่คุณนึกออก แน่นอนว่าพวกเขาก็นึกออกเหมือนกัน และไปเจรจากับคนเขาแล้ว บางทีก็แซงหน้าเราไปก้าวหนึ่ง ผมสงสัยด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้พวกเขาจงใจเล็งเป้ามาที่เรา”
“ช่วยไม่ได้”
หลินเซวียนตั้งสติ “ในอีเมลมีต้นฉบับอยู่ไม่ใช่เหรอคะ เราไปร่อนทอง[1]กันดีกว่า ต้องรีบทำเวลาสักหน่อย ไม่งั้นฉันคงต้องส่งต่องานสุดท้ายให้สุ่ยจูโหรวหรือไม่ก็จางหยาง”
“ร่อนทอง…”
จางเฉิงจนปัญญา แต่เขาเองก็รู้ว่านี่คือหนทางที่ต้องเดินยามหมดหนทาง
แผนกนิทานก่อตั้งขึ้น เริ่มแรกเตรียมการผลิตนิตยสารนิทาน ในนิตยสารจำเป็นต้องเผยแพร่เนื้อหาส่วนที่เป็นนิทาน และรองบรรณาธิการแต่ละคนต้องรับผิดชอบนิทานสองถึงสามเรื่อง
เมื่อเกี่ยวโยงถึงผลงาน รองบรรณาธิการอีกสองคนจึงติดต่อรับต้นฉบับจากนักเขียนชื่อดังในแวดวงนิทาน
มีเพียงหลินเซวียน ที่ในตอนนี้ได้นิทานมาเพียงเรื่องเดียว แถมอีกฝ่ายยังไม่นับว่าเป็นนักเขียนชื่อดัง กล่าวได้เพียงว่าเป็นที่รู้จัก
ทำได้เพียงเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดจากบรรดาคนที่ไม่โดดเด่นก็เท่านั้น
และได้มาเพียงเรื่องเดียว เรื่องที่สองยังไม่ตกล่องปล่องชิ้นสักที
หลินเซวียนทำได้แค่ค้นหาจากต้นฉบับซึ่งนักเขียนหน้าใหม่ส่งมา ดูว่ามีเรื่องที่เหมาะสมบ้างหรือไม่
หลินเซวียนเองก็มีอีเมลซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะ
หลังจากที่เฟ้นหานิทานในระยะนี้ เธอก็ได้รับต้นฉบับจากภายนอกมาไม่น้อย
ทว่าในกองต้นฉบับนิทานเด็กนี้ ผู้ที่ส่งต้นฉบับมาโดยมากแล้วเป็นหน้าใหม่ หลินเซวียนกดเปิดอีเมลอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่พบเรื่องราวที่ตรงใจ นี่คือเหตุผลที่ทำไมรองบรรณาธิการอีกสองคนจึงขอต้นฉบับจากทางนักเขียนโดยตรง
“เหล่าจาง”
เธอเกาศีรษะด้วยความหงุดหงิดใจ เอ่ยเรียกจางเฉิง “ข้างล่างมีบ.ก.แนะนำต้นฉบับอะไรมาบ้างไหม”
“ก็มีอยู่หรอก…”
จางเฉิงกล่าวอย่างลำบากใจ “แต่ผมอ่านผ่านตาบ้างแล้ว มีแต่คุณภาพธรรมดา อีกอย่างบ่อต้นฉบับในอีเมลบริษัท ก็ไม่ได้ช่วยเพิ่มผลงานให้กับพวกเรา”
“จะพิจารณาจากความสำเร็จส่วนบุคคลก็ไม่ได้”
หลินเซวียนโบกมือ “เอาละ ฉันจะหาดูอีกครั้งแล้วกันค่ะ ในนี้ยังมีต้นฉบับอีกส่วนหนึ่งที่ยังอ่านไม่จบ ไม่แน่อาจมีขุมทรัพย์หลงอยู่ก็ได้”
“ได้”
จางเฉิงออกไป หลินเซวียนอ่านต้นฉบับต่อไป
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
หลินเซวียนก็ถอนหายใจ
ตรวจต้นฉบับทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายเธอก็หานิทานดีๆ ไม่เจอ เรื่องอย่างการงมเข็มในมหาสมุทรเช่นนี้เกิดขึ้นในกองบรรณาธิการอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ทว่าโอกาสที่เกิดขึ้นนั้นต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ
เห็นทีคงต้องส่งต่องานนี้ให้รองหัวหน้าบรรณาธิการอีกสองคนแล้ว
ในขณะที่หลินเซวียนกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่นั้น
ในห้องทำงานด้านข้าง
ผู้ช่วยของสุ่ยจูโหรวเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เพิ่งได้ข่าวมาว่าจางหยางติดต่อรับต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉีได้แล้ว เดิมทีหลินเซวียนก็ติดต่อขอต้นฉบับอาจารย์ฉีฉีไปเหมือนกัน ปรากฏว่าถูกแซงไปหนึ่งก้าว”
“เป็นอย่างที่คิด”
สุ่ยจูโหรวเอ่ยเสียงเรียบ “อาจารย์ฉีฉีกับแม่ของจางหยางเป็นเพื่อนสนิทกัน แม้แต่ฉันเองก็ยังไม่ได้ต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินเซวียน”
“แต่คุณก็ได้ต้นฉบับมาจากอาจารย์หยวนหยวน อาจารย์หยวนหยวนเก่งกว่าอาจารย์ฉีฉีเยอะเลย”
ผู้ช่วยยกยอปอปั้น
สุ่ยจูโหรวส่ายหน้า “ต้นฉบับของอาจารย์หยวนหยวนเป็นเรื่องยาว ตอนนี้ยังปล่อยไม่ได้ ไม้ตายเด็ดต้องเก็บไว้ใช้ทีหลัง เราใช้ต้นฉบับของอาจารย์จินซานก่อนแล้วกัน ใช้เรื่องสั้นที่นิตยสารต้องการไปก่อน โชคดีที่ฝีมือของอาจารย์จินซานก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร เหนือกว่าอาจารย์ฉีฉีอยู่บ้างด้วยซ้ำไป”
“นั่นก็จริง”
ผู้ช่วยส่ายหน้า “หลินเซวียนคงจะควานหาจนวุ่นแล้ว เวลาเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถ้าเธอยังหาต้นฉบับไม่ได้ งานนี้ทำได้แค่ถอยออกมาให้คุณหรือจางหยางจัดการแทน”
“ต้องส่งต่อมาให้ฉันอย่างแน่นอน”
สุ่ยจูโหรวพูดอย่างมั่นใจในตนเอง “อย่างน้อยฉันไม่ได้โจมตีเธอ จางหยางตัดหนทางของเธอ เรื่องนี้เชื่อว่าเธอเองก็เข้าใจดี”
“เฉียบ!”
ผู้ช่วยยกนิ้วโป้งขึ้นมา “แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณเป็นคนที่เปิดเผยกับจางหยางว่าหลินเซวียนคิดจะขอต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉี เดิมทีจางหยางไม่ได้คิดจะขอต้นฉบับจากอาจารย์ฉีฉี”
สุ่ยจูโหรวเอ่ย “นักรบไม่เคยเบื่อหน่ายกลอุบาย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน