ตอนที่ 412 เจ้าหญิงสโนว์ไวท์
ข่าวที่ฉู่ขวงเขียนนิทานก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งบริษัทอย่างรวดเร็ว
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดต่อบริษัทมากนัก
บางทีสำหรับแผนกนิทานแล้ว เรื่องนี้อาจเกี่ยวโยงไปถึงการแข่งขันในที่ทำงานของรองบรรณาธิการทั้งสามคน
แต่สำหรับทั้งคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ฉู่ขวงเขียนนิทานขนาดสั้น ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การตกอกตกใจแต่อย่างใด
จะคิดไปก็ถูก
เป็นเพียงเรื่องสั้นซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารนิทานฉบับหนึ่งเท่านั้น จะช่วยดันให้ไปไกลได้ขนาดไหนเชียว?
ทุกคนเอ่ยด้วยความสะท้อนใจออกมาประโยคหนึ่ง
ฉู่ขวงกระตือรือร้นมากจริงๆ งานเขียนประเภทไหนก็อยากทดลองเขียนไปหมด
เมื่อเทียบกันแล้ว กลับเป็นข่าวอีกประเภทหนึ่งที่ดึงดูดผู้คนได้มากกว่าก็คือ
ฉู่ขวงเป็นถึงเบื้องหลังของหลินเซวียน!
หลินเซวียนไม่ใช่คนดังในบริษัท คนที่รู้จักเธอนั้นมีไม่มาก
แต่ถ้าหลินเซวียนมีความเกี่ยวข้องกับฉู่ขวง เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเธอเป็นที่รู้จักของคนทั้งบริษัทในทันที!
หลายคนเริ่มถกเถียงกันถึงความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนนี้กับฉู่ขวง
และขณะที่หลินเซวียนกำลังกินอาหารกลางวันในโรงอาหารของบริษัท เธอก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนในแผนกอื่นกำลังแอบมองเธอ
“ฉันดังแล้วใช่ไหม?”
หลินเซวียนยิ้มเอ่ย เธอไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่กลับรู้สึกเคยชินด้วยซ้ำไป
เมื่อก่อนเดินอยู่ตามถนนกับน้องชาย หลายคนก็ลอบมองน้องชายของเธอ เธอจึงพลอยได้รับความสนใจไปด้วย
หลินเซวียนคุ้นชินกับการเป็นที่สนใจของผู้คนนับตั้งแต่นั้นมา
“แหงอยู่แล้วละครับ ตั้งแต่ที่มีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับอาจารย์ฉู่ขวงเผยแพร่ออกไป หลายคนก็แอบพูดถึงคุณลับหลัง เพราะอาจารย์ฉู่ขวงเป็นบุคคลลึกลับ เขาไม่เคยมาที่บริษัทเลยสักครั้ง นักเขียนชื่อดังคนอื่นยังมีแวะเวียนมาบ้าง”
จางเฉิงซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าว
หลินเซวียนเบ้ปาก เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าฉู่ขวงเป็นเทพเซียนมาจากแห่งหนตำบลใด น่าเสียดายที่น้องชายไม่แนะนำให้รู้จัก
อย่างไรก็ดี เธอเองก็จะไม่ออกตัวอธิบายให้มากความ
มีแต่คนเขลาเบาปัญญาเท่านั้นแหละที่จะอธิบาย ปล่อยให้คนเข้าใจผิดไปถึงจะสะดวกกว่าไอรีนโนเวล
หลินเซวียนไม่ใช่คนไร้ไหวพริบจนไม่เข้าใจเรื่องนี้
แม่มักจะบอกว่าตนเป็นคนเซ่อ อันที่จริงส่วนมากตนก็มีไหวพริบอยู่นะ
“จริงสิ”
หลินเซวียนกินอาหาร พลางเอ่ยว่า “ส่งต้นฉบับที่แผนกตีพิมพ์หรือยังคะ”
“ส่งไปแล้วครับ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ จางเฉิงก็ผุดยิ้ม “สมแล้วที่เป็นอาจารย์ฉู่ขวง ต่อให้เขียนนิทานเป็นครั้งแรก ก็ทำได้ง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก รู้สึกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่านักเขียนชื่อดังเลย แต่เรื่องอื่นๆ ผมก็มองไม่ออก นิทานจำเป็นต้องใช้การทดสอบตลาด”
หลินเซวียนพยักหน้า “สุ่ยจูโหรวกับจางหยางเห็นหรือยัง?”
จางเฉิงตอบ “เป็นเพราะรีบส่งให้ทันเดดไลน์ พวกเขาไม่ทันได้อ่าน ส่วนการเรียงพิมพ์อะไรพวกนั้น ไม่ใช่หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ ทางนั้นเวลากระชั้นอยู่สักหน่อย ต้องเพิ่มส่วนของตัวละครกับภาพประกอบอีก ถึงยังไงงานนี้ก็ต้องตีพิมพ์ก่อนสิ้นปี ช่วงปีใหม่นิตยสารนิทานจะขายดีมากเลยล่ะครับ”
“เรื่องโปรโมตล่ะคะ?”
“บริษัทจัดการแล้ว แต่สเกลไม่ใหญ่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าประกาศข่าวเกี่ยวกับการเปิดตัว ราชานิทาน แล้วก็ใช้โอกาสที่นิตยสารเริ่มวางขาย แขวนแบนเนอร์แนะนำนักเขียนนิทานชื่อดังด้วย แต่ชื่อเสียงของอาจารย์ฉู่ขวงที่มาเขียนนิทานคงไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรมาก เพราะยังไงเขาก็ไม่ใช่นักเขียนนิทาน ผู้ปกครองอาจไม่เชื่อถือ นอกจากนั้นแฟนคลับของฉู่ขวงมีแต่ผู้ใหญ่เป็นหลัก ผู้ใหญ่คงไม่ได้อ่านนิทาน”
สิ่งที่เรียกว่า ‘ราชานิทาน’ ก็คือนิตยสารที่แผนกจัดทำขึ้น
“โอเคค่ะ”
หลินเซวียนพยักหน้า
เรื่องนี้เป็นอย่างที่คาดไว้ เธอก็ไม่ได้คาดหวังให้บริษัทโปรโมตอะไร อย่างไรเสียแผนกก็เพิ่งก่อตั้งขึ้นมา บริษัทไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้น นิทานขนาดสั้นยังเป็นหมวดหมู่เล็กๆ ในตลาด
แม้ว่าหมวดหมู่นี้จะขาดไม่ได้ แต่ก็ยากที่จะแข่งขันกับหนังสือประเภทอื่นในแง่ของยอดขาย
เมื่อเปรียบกับนิทานขนาดสั้นแล้ว กลับเป็นนิทานขนาดยาวที่ค่อนข้างมีตลาด และได้รับความนิยมจากเด็กๆ
……
เช่นเดียวกับที่จางเฉิงกล่าวไว้ ในเย็นวันนั้น คลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็เริ่มต้นโปรโมตราชานิทาน
ประเด็นหลักของการโปรโมตนั้นวนเวียนอยู่ที่นักเขียนนิทานทั้งสองท่านซึ่งมีผลงานปรากฏอยู่ในนิตยสารฉบับนี้ ได้แก่จินซานและฉีฉี
นอกจากนั้น แน่นอนว่าฉู่ขวงก็ถูกเอ่ยถึงเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน