Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 444

ตอนที่ 444 ซื้อตั๋วร่วมสนุก

เห็นได้ชัดว่าอาหู่แพ้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำวิจารณ์จากสาธารณชนบนเว็บไซต์สตาร์เน็ต หรือความหมายแฝงจากโพสต์ของบรรดานักเขียนนิทานชื่อดัง ได้ชี้ชัดถึงข้อเท็จจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ยังมีชาวเยี่ยนปากแข็งไม่ยอมรับ ทว่าเมื่อยอดขายเรื่องซูเค่อกับเป้ยถ่าออกมาในวันที่สอง พวกเขาก็ไม่มีแรงตอบโต้อีก เพราะผลลัพธ์นั้นเป็นประจักษ์

ไม่ใช่การบดขยี้

แต่มากกว่าการทำลายล้าง

คำวิจารณ์และยอดขายผลงานชิ้นนี้ของฉู่ขวงไม่ได้ลดทอนผลงานของอาหู่ ทว่าในบริบทของความขัดแย้งระหว่างพื้นที่ ฉู่ขวงนั้นมีถึงสองบทบาทพร้อมกันในศึกระหว่างวงการนิทานฉินและเยี่ยน

เรื่องราวเริ่มต้นจากเขา

จุดจบสิ้นสุดลงที่เขา

ต่อให้ไม่ได้มีเจตนาดูแคลนอาหู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังให้ความรู้สึกว่า ‘พ่อก็คือพ่อ’ เรื่องนี้ฉู่ขวงถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นอายของความเป็นตำนาน และยิ่งทำให้ความสามารถในการเขียนนิทานของฉู่ขวงได้รับการยอมรับขึ้นอีกขั้น

‘เจ้าแก่ยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม!’

‘เจ้าแก่นี่โหดจริงๆ คนเยี่ยนกลุ่มนั้นนิสัยเสียเองด้วย นิทานสั้นถูกเจ้าแก่ฉู่ขวงจัดการจนสาหัสไปรอบหนึ่งแล้ว เลยจะมายั่วยุเปิดศึกในนิทานยาวอีก คิดว่าเจ้าแก่ฉู่ขวงไม่มีแรงจัดการกับพวกคุณแล้วหรือไง?’

‘ใครก็ตามที่รุกรานฉินจักต้องถูกลงทัณฑ์ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม!’

‘นิทานยาวที่ฉู่ขวงเขียนถึงแม้จะไม่ปังเท่านิทานสั้น แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ฝีมือโหดที่สุดในบลูสตาร์แล้ว อาหู่แพ้ครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ยุติธรรม ส่วนตัวฉันคิดว่านิทานยาวของฉู่ขวงมีพลังเจ็ดส่วนของนิทานสั้นเลย’

‘ต้องสักแปดส่วนล่ะมั้ง?’

‘น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้จงใจบดขยี้อาหู่ ถ้าบดขยี้คู่แข่งได้จริงๆ ฉู่ขวงน่าจะกลายเป็นราชานิทาน ไม่ใช่ราชานิทานสั้นอีกต่อไป ฉันคาดหวังกับเจ้าแก่ฉู่ขวงมากเกินไปไหม?’

‘…’

ชาวเยี่ยนกระอักเลือดกันถ้วนหน้า

คำพูดนี้บีบคั้นหัวใจของผู้คน กลายเป็นราชานิทานสั้นยังไม่พอ พวกคุณยังอยากให้ฉู่ขวงได้ฉายานามว่าราชานิทานยาวอีกหรือ จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ควรมีขีดจำกัดของมนุษย์กันบ้าง คิดว่าทั้งวงการนิทานบลูสตาร์มีฉู่ขวงอยู่แค่คนเดียวหรืออย่างไร?

ถูกเอาเปรียบ แล้วยังต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวอีกรึ!

ชาวเยี่ยนโกรธเหลือเกิน แต่กลับไร้ซึ่งหนทางโต้กลับ นอกเสียจากว่าตอนนี้วงการนิทานเยี่ยนจะปรากฏผู้ที่เก่งกาจจนสามารถเก็บฉู่ขวงได้ นั่นจะต้องรอจนกว่าชาวเยี่ยนพร้อมที่จะเผยแพร่ผลงาน นอกจากนั้นยังต้องเป็นนักเขียนนิทานยาวที่แข็งแกร่งกว่าอาหู่ จึงจะใช้ได้

ในเยี่ยนโจวมีคนแบบนี้ไม่มากนัก

พูดให้ละเอียดคือมีแค่คนเดียว

ดังนั้นถึงแม้ชาวเยี่ยนจะยังไม่ยอม แต่อย่างน้อยในตอนนี้พวกเขาก็สงบปากสงบคำลงแล้ว นิทานทั้งสั้นและยาวถูกฉู่ขวงจัดการ ในระยะนี้คงไม่กล้าแตะฉู่ขวงในวงการนิทานอีกต่อไป

ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!

ฉู่ขวงเขาเขียนผลงานนิทานออกมาติดต่อกันตั้งมากมาย คุณยังไปท้าประชันวรรณกรรมกับเขาอีก ต่างอะไรกับวัฏจักรสงครามซึ่งไม่มีวันจบสิ้น จะไม่ให้คนเขาได้พักหายใจหายคอสักหน่อยหรือ?

ชาวเยี่ยนใช้จรรยาบรรณในการต่อสู้คุยกัน

ต่อให้พ่ายแพ้ในศึกระหว่างพื้นที่ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หนำซ้ำชาวเยี่ยนบางคนยังซื้อผลงานของฉู่ขวง นับว่าช่วยเพิ่มยอดขายให้กับฉู่ขวง

‘คนกันเอง’

ชาวเยี่ยนบางคนกล่าวอย่างใจเย็น ‘แต่ละทวีปบนบลูสตาร์เดิมทีก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกมากเกินไป จุดประสงค์ของนิทานคือการถักทอความฝันให้กับเด็กๆ สู้กันไปมาน่าเบื่อจะตายไป’

ชาวฉู่ ‘…’

ชาวเยี่ยนโอนอ่อนผ่อนปรนได้?

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถูกเซี่ยนอวี๋และอิ่งจือข่มเหงด้านดนตรีและการ์ตูน ชาวฉู่ก็พูดเช่นนี้ สู้กันไปสู้กันมาน่าเบื่อจะแย่ แต่ทั่วทั้งบลูสตาร์ล้วนรู้ดีว่าชาวเยี่ยนอย่างพวกคุณชอบการต่อสู้มากที่สุด!

คำพูดนี้แบ่งเป็นสองส่วน

หลังจากหลินเยวียนเผยแพร่นิทานเรื่องซูเค่อกับเป้ยถ่า ก็ไม่ได้ติดตามเหตุการณ์ในวงการนิทานอีก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาวฉินไปแล้ว กลับเป็นพี่สาวที่บอกเรื่องนี้กับเขา เขาถึงตระหนักได้ว่าความขัดแย้งระหว่างพื้นที่ได้สิ้นสุดลงแล้ว

นั่นทำให้หลินเยวียนครุ่นคิด

เห็นทีหนทางในการผนวกรวมบลูสตาร์ยังอีกยาวไกล ต่อให้ทั้งสี่ทวีป ได้แก่ ฉิน ฉี ฉู่ และเยี่ยนผนวกรวมกันแล้ว แต่ทุกคนยังไม่ได้รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน หลายครั้งยังอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบสูงต่ำดำขาว มิน่าล่ะเบื้องบนถึงได้ตัดสินใจผนวกรวม ถ้าหากไม่ทำให้แต่ละทวีปหลอมรวมกัน เกรงว่าในอนาคตแต่ละทวีปอาจทำสงครามกันขึ้นมาจริงๆ ถึงขั้นก่อตั้งเป็นประเทศใหม่

“ผลออกมาแล้ว!”

หลินเซวียนบอกกับหลินเยวียนด้วยความตื่นเต้น นิทานสั้นและนิทานยาวของฉู่ขวงง้างคันศร ย่อมเล็งเป้าหมายไปยังผลงานของเธอ รอให้ถึงเวลาที่บริษัทตัดสินใจเลือกหัวหน้าบรรณาธิการ ตำแหน่งนี้จะต้องมาอยู่ในกำมือของเธออย่างแน่นอน

“ดีใจด้วย”

หลินเยวียนยิ้มแย้ม

พี่สาวส่ายหน้า “ที่จริงพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก ฉู่ขวงนายก็เป็นคนดึงตัวมาให้ ถ้าไม่มีฉู่ขวง พี่คงแข่งกับสองคนนั้นไม่ไหว สมแล้วที่ฉู่ขวงเป็นเทพที่ดึงทั้งแผนกขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว”

“อื้อ”

หลินเยวียนเอ่ยเตือน “หลังจากนี้ฉู่ขวงน่าจะเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนต่อ ไม่กลับมาแตะนิทานอีก รอให้หลังจากนี้เขานึกสนใจอยากเขียนนิทานขึ้นมาอีก ผมจะให้เขาส่งนิทานให้พี่ตีพิมพ์”

“ได้เลย!”

หลินเซวียนพยักหน้าอย่างจริงจัง

เธอรู้ว่าฉู่ขวงเขียนนิทานเพียงเพราะน้องชายแอบไปขอร้องให้ช่วยเหลือเธอ ตอนนี้ผลงานของเธอมั่นคงแล้ว ฉู่ขวงคงต้องกลับไปสะสางงานของตน แต่คงเป็นเรื่องยากสำหรับโลกภายนอกที่จะจินตนาการว่าเหตุผลที่ฉู่ขวงเขียนนิทานจะง่ายดายถึงเพียงนี้?

หลินเยวียนก็พยักหน้าเช่นกัน

เขาไม่มีแผนจะเขียนนิทานต่อในเร็วๆ นี้ ในอนาคตค่อยกลับมาเขียนหมวดหมู่นี้ต่อก็แล้วกัน ยังต้องเผยแพร่นิยายชุดรหัสคดีปัวโรต์ให้จบ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนี้เขาจะเข้าร่วมการแข่งขันรายการราชาหน้ากากนักร้อง!

ใช่แล้ว

เมื่อความโกลาหลในวงการนิทานได้ปิดฉากลง ในที่สุดก็มีข่าวออกมาว่ารายการราชาหน้ากากนักร้องกำลังจะบันทึกเทป ขณะเดียวกันหลินเยวียนก็ได้รับหน้ากากและชุดซึ่งตนสั่งผลิตสำหรับการแข่งขัน

“ลองเลยค่ะ!”

เมื่อกู้ตงได้รับชุดเหล่านี้ และนำไปส่งยังห้องทำงานของหลินเยวียน ดวงตาของเธอพลันพราวประกาย ต้องเข้าใจว่าราคาในการผลิตชุดพร้อมหน้ากากนี้คือ 120,000 หยวน ผลลัพธ์หลังจากสวมขึ้นบนร่างกายนั้นย่อมควรค่าแก่การรอคอย!

“ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน