Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 472

ตอนที่ 472 ผืนน้ำเย้ยเยาะ

บทเพลงจบลงแล้ว

ดนตรีก็จบลงแล้ว

ทั้งห้องส่งเงียบกริบจนน่ากลัว!

สายตาของผู้ชมทุกคนจับจ้องไปยังร่างของหลานหลิงอ๋องบนเวที เพียงแต่ความรู้สึกในแววตานั้น โดยมากล้วนต่างไปจากก่อนหลานหลิงอ๋องจะขึ้นเวทีอย่างสิ้นเชิง

ในที่สุด…

แปะๆๆๆๆ!

เสียงปรบมือดังขึ้นแล้ว!

ผู้ชมซึ่งฟังไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ไหว หนำซ้ำยังยกมือขึ้นปรบเหนือศีรษะอีกด้วย!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่

ในที่สุดเสียงปรบมือก็หยุดลง

อันหงพิธีกรตบอก กล่าวกลั้วหัวเราะ “ถ้าพวกคุณยังปรบมือแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมจะไม่กล้าขึ้นเวทีแล้วนะครับ แต่ไม่ว่าอย่างไร เสียงเชียร์และเสียงปรบมือ ก็ล้วนเป็นของหลานหลิงอ๋องของพวกเรา!”

“หลานหลิงอ๋องสุดยอด!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นมาจากกลุ่มผู้ชม

อันหงหลุดหัวเราะ

ด้านล่างเวทีต่างพากันหัวเราะครืน

ขณะเดียวกัน ผู้ชมสามารถสงบความตื่นเต้นลงได้ในที่สุด และใช้โอกาสระหว่างที่พิธีกรพูด สนทนากันอย่างรวดเร็ว

“สุดจัด!”

“เดินเครื่องเต็มสูบ!”

“ฉันต้องขอโทษพี่ชายคนเมื่อกี้ ฉันไม่ควรบอกว่าหลานหลิงอ๋องใช้ได้แค่มุกสลับเสียง เวทีนี้ปังมาก ขอเปลี่ยนจากแอนตี้แฟนเป็นแฟนคลับแล้วกัน!”

“ปังจริงแก!”

“เนื้อเพลงท่อนแรกออกมา ฉันนี่ขนลุกเลย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าพลังเสียงของมนุษย์เข้ากับเสียงกลองได้ลงตัวขนาดนี้ แถมยังมีผีผาเข้ามาอีก ประทับใจ!”

“นั่นมันกู่เจิง”

“จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเพลงนี้ฉันชอบมาก เมื่อก่อนฉันชอบซีรีส์กำลังภายใน เพลงนี้ทำให้ฉันได้เห็นจิตวิญญาณของชาวยุทธ์ที่แท้จริง องอาจห้าวหาญ ทั้งยังให้ความรู้สึกดิ้นรน และเผยด้านที่อ่อนแอออกมา”

“…”

เสียงของทุกคนดังขึ้นๆ ลงๆ แต่เมื่อพิธีกรเอ่ยเรียกกรรมการตัดสิน บทสนทนาของผู้ชมก็หยุดลงทันใด พวกเขาอยากฟังว่ามืออาชีพจะพูดถึงการแสดงของหลานหลิงอ๋องว่าอย่างไร

“เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ!”

ผู้ที่กล่าวขึ้นมาคนแรกก็คือเหมาเสวี่ยวั่ง เขายกสำนวนมาอธิบาย “เพลงนี้ผมฟังแล้วให้อารมณ์ของความเป็นยุทธจักรอย่างเต็มเปี่ยม พูดได้ด้วยซ้ำว่าเพลงนี้ถ่ายทอดความเป็นยุทธจักรออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คุณเลือกใช้เสียงแหบที่ค่อนข้างเบา อรรถรสของเพลงนี้ส่งผ่านมากระทบคลื่นสมองของผมและทุกคนโดยตรง ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้คุณอุบไว้หรือช่วงนี้เพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง ทักษะการร้องเพลงในเวทีนี้ของคุณแข็งแกร่งมาก แทบจะไม่มีข้อบกพร่องอะไรเลย!”

“ฉันก็คิดเช่นนั้น”

หลิ่วซวี่ซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น

ขณะนี้จู่ๆ ทั้งห้องส่งก็หัวเราะลั่น ยังมีคนเล่นมีม ‘ข้าก็คิดเช่นนั้น’ อยู่อีกหรือ แต่แน่นอนว่าหลิ่วซวี่ไม่ได้แอบอู้งาน

“เสียงแหบของคุณไพเราะมาก”

เธอกล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเพลงที่ชวนให้ฮึกเหิมมาก ตอนนี้ฉันค่อนข้างเอนไปทางคุณคือนักร้องผู้ชาย ถึงเสียงของคุณจะใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากก็เถอะ แต่ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงจะสามารถใช้เสียงแหบของผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบนี้ได้ เพลงนี้ต่างกับสองเวทีแรกของคุณราวฟ้ากับดิน หรือว่าก่อนหน้านี้คุณแอบซ่อนความสามารถที่แท้จริงไว้ หรือว่าคุณก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งอาทิตย์ สามารถทำได้ถึงระดับนี้เรียกได้ว่าเหลือเชื่อจริงๆ!”

“ร้องได้ดีมาก!”

อู่หลงซึ่งอยู่ด้านข้างตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหวมาตั้งแต่แรก “ตอนนี้ผมปาดเหงื่อแทนนักร้องที่จะขึ้นเวทีคนต่อไปแล้วครับ เสียงแหบของคุณคือสิ่งที่ทุกคนมองข้ามมากที่สุด แต่เวทีในวันนี้ เสียงแหบของคุณได้กลายเป็นศัสตราวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณ นอกจากนั้น เช่นเดียวกับที่หลิ่วซวี่บอก ความก้าวหน้าของคุณเห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เพราะความก้าวหน้าละก็ บางทีก่อนหน้านี้คุณอาจเก็บซ่อนความสามารถของตัวเอง และนี่แหละคือความสามารถที่แท้จริงของคุณ!”

“เวทีนี้สมบูรณ์แบบมาก”

ผู้ที่เอ่ยขึ้นในครั้งนี้คือหยางจงหมิง

เขากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ผมชอบสำนวนที่กล่าวว่า ‘ความสุขที่ยิ่งใหญ่มักเรียบง่าย’ หรือไม่ก็มรรคามักกระชับได้ใจความ ออกห่างจากเทคนิคของทำนองที่โลดโผนอลังการ ละทิ้งการเรียบเรียงเพลงที่ซับซ้อนเกินงาม ใช้เพียงความกล้าหาญจากต้นฉบับมาถ่ายทอดความรู้สึก นี่คือการสร้างสรรค์ที่ชาญฉลาดมาก ครั้งนี้เซี่ยนอวี๋ไม่ได้แอบขี้เกียจเขียนเนื้อเพลง ด้านเนื้อเพลงดูเหมือนเขาแอบขี้เกียจเขียน แต่ที่จริงแล้วที่คือระดับปรมาจารย์ รวมไปถึงการขับร้องของคุณก็ตีความอารมณ์ของบทเพลงออกมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจ ผมรู้ว่าเวทีนี้คุณต้องแบกรับแรงกดดัน เสียงจากโลกภายนอกวิจารณ์คุณตามอำเภอใจ แต่วันนี้ผมอยากบอกทุกคนประโยคหนึ่งว่า พวกคุณได้สร้างความผิดพลาดอย่างที่ไม่ควรสร้างเสียแล้ว”

“ความผิดพลาดอะไรหรือครับ”

พิธีกรรู้จังหวะรับส่ง

หยางจงหมิงหัวเราะ “พวกสบประมาทความน่ากลัวของเซี่ยนอวี๋…แค่ก และพวกคุณก็สบประมาทความสามารถของหลานหลิงอ๋องเช่นกัน ผมหมายความว่า การสบประมาทในลักษณะนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ในสัปดาห์แรกแล้ว…”

หลินเยวียนอึ้งไป

เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ถ้าหากไม่มีการไอซึ่งฟังดูเป็นธรรมชาติ ทว่าแท้จริงแล้วเสียดโสตประสาท หลินเยวียนไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่ตอนนี้หลินเยวียนรู้สึกว่าหยางจงหมิงกำลังปกปิดและกอบกู้ข้อสรุปสักประโยคหนึ่งซึ่งเขาพูดออกไปอย่างลืมตัว

อย่างไรก็ตาม…

คนอื่นๆ ไม่มีใครรู้สึกว่าการไอของหยางจงหมิงนั้นไม่เป็นธรรมชาติขนาดไหน พวกเขาคิดว่าหยางจงหมิงเกิดอาการระคายคอขึ้นมาจริงๆ ประโยคซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนก็คือประโยคนี้ของหยางจงหมิง

ดูแคลนหลานหลิงอ๋อง?

ถ้าบอกว่าหลังจากสัปดาห์ที่สองทุกคนดูแคลนหลานหลิงอ๋องละก็ งั้นในสัปดาห์ที่หนึ่งก็ไม่สมเหตุสมผลน่ะสิ เห็นชัดๆ ว่าในสัปดาห์ที่หนึ่งทุกคนยกย่องหลานหลิงอ๋องขนาดไหน!

แบบนี้นับว่าเป็นการดูแคลนด้วยหรือ?

กลับเป็นหงส์ขาวด้านหลังเวทีซึ่งเอ่ยขึ้นราวกับมีอะไรในใจ “ที่จริงฉันสัมผัสได้ตั้งแต่เพลงเด็กชายแล้ว หลานหลิงอ๋องมีการพัฒนา เพียงแต่ในสัปดาห์ที่สองเขาต้องใช้เวลาตกตะกอน ฟังครั้งแรกยากที่ผู้ชมจะเปิดใจ”

“พ่อเพลงหยางพูดได้ถูกต้อง!”

หุ่นยนต์บ่น “เวทีนี้โหดจริงๆ โหดกว่าสองเวทีแรกของเขาซะอีก วันนี้ผมจับสลากได้เป็นลำดับที่สามใช่ไหม”

เขามองไปยังผู้ช่วย

ผู้ช่วยพยักหน้า

หุ่นยนต์หัวเราะฮ่าๆ ต่อให้เขารู้แก่ใจว่าตนคือลำดับที่สาม แต่เขาก็อดไม่ได้จำต้องถามเพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่เพราะเขารับเวทีต่อจากหลานหลิงอ๋องไม่ไหว แต่เขาจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และผลกระทบนี้จะทำให้อันดับของเขาต่ำลง

บนเวที

เมื่อคณะกรรมการตัดสินพูดจบ สายตาของพิธีกรจึงเบนไปยังคณะกรรมการประเมิน

ปรากฏว่าเมื่อเห็นภาพหนึ่งเข้า สีหน้าของพิธีกรก็แลดูพิลึกกึกกือขึ้นมาฉับพลัน

เพราะร่างอ้วนกลมร่างหนึ่งกำลังพยายามซ่อนตัวอย่างงุ่มง่ามท่ามกลางกลุ่มกรรมการประเมิน

เขาก้มหน้าหาที่ซ่อน อีกเพียงนิดเดียวคงขุดหลุมมุดลงดินไปแล้ว

พิธีกรอันหงซึ่งมีสายตาเฉียบแหลมจดจำอีกฝ่ายได้

เหลิ่งเฉวียน

เมื่อย้อนนึกถึงสุนทรพจน์ยาวเหยียดของเหลิ่งเฉวียนก่อนการแข่งขัน สีหน้าของอันหงก็ยิ่งแปลกพิลึกกว่าเดิม

และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งขบขันยิ่งกว่านั้นก็คือในขณะนี้กล้องจากมุมสูงหลายตัวของรายการ ต่างพากันจับภาพของเหลิ่งเฉวียนอย่างแม่นยำ

เพราะฉะนั้น…

การพรางตัวทั้งหมดทั้งมวลของเหลิ่งเฉวียน ล้วนถูกเปิดโปงโดยกล้องของรายการ และนั่นยิ่งทำให้เขาดูชวนหัวเป็นพิเศษ!

“ไม่ต้องหลบแล้ว”

เพื่อนฝูงซึ่งอยู่รอบข้างเหลิ่งเฉวียนชักจะทนไม่ไหว “คุณจะมุดเข้าเป้ากางเกงผมอยู่แล้วครับเนี่ย!”

เหลิ่งเฉวียนไม่ส่งเสียง

ขณะนั้นในหูฟังอินเอียร์ของพิธีกร คล้ายว่าจะมีเสียงดังขึ้น

เพราะหลังจากนั้น พิธีกรก็ยิ้ม “อาจารย์เหลิ่งเฉวียนครับ เหมือนว่าคุณจะมีอะไรอยากพูดเยอะเลยใช่ไหมครับ?”

เหลิ่งเฉวียนซึ่งได้ยินดังนั้นก็หน้าซีดเผือด แทบอยากลุกขึ้นมาด่าอันหงให้รู้แล้วรู้รอด!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน