ตอน ตอนที่ 824 ให้ผมขึ้นไปก็ยังได้ (1) จาก Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 824 ให้ผมขึ้นไปก็ยังได้ (1) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายการเงิน Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 824 ให้ผมขึ้นไปก็ยังได้ (1)
ภายในห้องของสโมสร
เสียงดนตรีระคนความเศร้าสร้อยบางเบา
ความเศร้าสร้อยนั้นแฝงด้วยความรู้ลึกอันซึ้ง
บรรดาพ่อเพลงซึ่งนั่งอยู่ต่างก็ตั้งใจฟังอินโทรของเพลงเครื่องลายคราม อย่างละเอียด
ท่อนเวิร์สของเพลงดังขึ้นเป็นครั้งแรกว่า
“ตวัดเส้นพลิ้วไหวขึ้นลายครามปลายพู่กันหนักผ่อนเบา
โบตั๋นบนแจกันราวภาพเธอในคราแรกพบ
หอมไม้แก่นจันทน์ลอยผ่านหน้าต่างรู้ความในใจ
กระดาษเซวียนจื่อขาวบันทึกเรื่องราวพลันหยุดลง…”
เมื่อท่อนเวิร์สแรกของเพลงเริ่มขึ้น ลู่เซิ่งซึ่งมั่นใจเต็มที่กลับเงยหน้าขึ้นและในใจรู้สึกราวกับมีระลอกคลื่น
เรียบง่าย
สง่างาม
เนื้อเพลงที่ละเอียดและอ่อนหวานผสมผสานกับท่วงทำนอง ทั้งที่มีกลิ่นอายของเพลงโบราณใหม่ ทว่าแต่เนื้อเพลงของเพลงนี้กลับทำให้เขาตกตะลึงในทันที!
ไม่ใช่เพียงลู่เซิ่ง
คนอื่นๆ ในห้องมีสีหน้าต่างกันออก ชัดเจนว่าทุกคนล้วนตกตะลึงกับเนื้อเพลง!
“สีเคลือบวาดภาพโฉมงามคล้ายซ่อนมนตร์
รอยยิ้มเธอหวานละไมดั่งบุปผาพิไลรอวันผลิบาน
ความงามลอยละล่อง
ท่องไปยังดินแดนที่ฉันไม่อาจไปเยือน…”
ยังคงเป็นเนื้อเพลงที่งดงามชวนให้เคลิบเคลิ้ม เมื่อเสียงเพลงดำเนินไป เกลียวคลื่นในใจของลู่เซิงเริ่มขยายตัว!
ซ่า!
ประหนึ่งกับก้อนหินที่ตกลงกลางทะเลสาบ ทำให้เกิดระลอกคลื่นกระจายออกไปทุกทิศทาง!
เขาปรับท่านั่งโดยไม่รู้ตัวจนทำให้เก้าอี้เสียดสีกับพื้น ส่งเสียงดังเล็กน้อยที่ฟังดูค่อนข้างแสบแก้วหู
เสียงเสียดสีนี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องไม่มีใครพูดคุยกัน ทว่าเหล่าพ่อเพลงที่นั่งอยู่ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง แววตาของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด!
ท่ามกลางฝูงชน
อิ่นตงและเยี่ยจือชิวสบตากัน พวกเขาเห็นความเปล่งประกายในสายตาของอีกฝ่าย!
และในขณะนั้นเอง
เสียงร้องก็พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน!
ความโศกเศร้าและความหนาวเหน็บโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องประดุจหยาดฝนในสารทฤดู ราวกับว่าทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงเสียงเพลงนี้ที่หลงเหลืออยู่!
“ฟ้าครามรอฝนพรำดั่งเช่นฉันเฝ้ารอเธอ
กลุ่มควันลอยล่องไกล แยกย้ายตามธารใส
รอยใต้แจกันจารึกความยิ่งใหญ่ครั้นโบราณ
คือสัญญาณว่าเราจะเวียนมาพานพบ
ฟ้าครามรอฝนพรำดั่งเช่นฉันเฝ้ารอเธอ
แสงจันทราสาดกระทบฝั่ง ฉากจบสลัวลาง
ดั่งเครื่องลายครามโบราณงามในตัวเองไม่สร่าง
รอยยิ้มเธอฉายพร่างในแววตา…”
เสียงดนตรีดังเปรี้ยงปร้างดั่งหยาดฝนหยดเล็กหยดใหญ่ตกกระทบถาดหยกงาม!
ท่วงทำนองที่อ่อนโยนยังคงแฝงไปด้วยความรู้สึกสับสนและความเศร้าหมอง ราวกับลมเย็นพัดผ่านมากระทบใจของทุกคนอย่างฉับพลัน ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายอย่างต่อเนื่อง แทรกซึมเข้าไปทุกอณูของหัวใจของทุกคน!
เหน็บหนาว
ทั้งเหน็บหนาวแต่กลับร้อนแรงในเวลาเดียวกัน!
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที ความตกตะลึงปรากฏขึ้นพร้อมกันบนใบหน้าของเหล่าพ่อเพลงทุกคน ในห้องซึ่งมีเพียงเสียงดนตรีบรรเลง ทำให้แสดงอาการตะลึงงันเช่นเดียวกัน!
อึ้ง!
อึ้งกันถ้วนหน้า!
ใบหน้าของลู่เซิ่งไม่มีแววความมั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป!
ร่างกายของเขาเกร็งไปด้วยสัญชาตญาณ ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย!
เสียงเครื่องดนตรีถูกบรรเลงอย่างเต็มที่!
การบรรเลงด้วยวิธีดั้งเดิม สร้างท่วงทำนองที่แผ่วเบาและเนิบช้า ความรู้สึกอัดอั้นจากการพลัดพรากและความโศกเศร้าไหลรินอยู่ในห้องอย่างลึกล้ำ ลึกบ้าง ตื้นบ้าง เพลงนี้บรรจุความเก่าแก่และหนักแน่นอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ ราวกับประวัติศาสตร์และกาลเวลาที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเสื่อมโทรม
กง ซาง เจวี๋ย จื่อ อวี่!
ความเรียบง่ายถึงขีดสุด!
ความสะเทือนใจถึงขีดสุด!
เมื่อเพลงจบลง ห้องทั้งห้องเงียบงันจนแม้แต่นกยังไม่กล้าส่งเสียง!
ชั่วขณะต่อมา
ความเงียบแตกสลาย
รวมถึงเมื่อเปรียบเทียบกับลมบูรพาร้าวรานก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว เครื่องลายครามกลับเหนือกว่าชัดเจน โดยเฉพาะเนื้อเพลงซึ่งเหมือนถูกสร้างสรรค์มาเพื่อเพลงแนวโบราณใหม่นี้โดยเฉพาะ
ความหมายของทั้งบทเพลง ครึ่งหนึ่งมาจากทำนอง อีกครึ่งหนึ่งมาจากเนื้อเพลง
เมื่อทั้งสองส่วนผสานกันอย่างลงตัว เพลงเครื่องลายครามจึงไปถึงจุดสูงสุดที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้!
“ให้ผมขึ้นไปก็ยังได้”
จู่ๆ อิ่นตง ก็พูดเช่นนี้กับลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งกลอกตา
ทุกคนหัวเราะลั่น
ใช่แล้ว
……
เหล่าพ่อเพลงมาไวไปไว
เมื่อทุกคนจากไปด้วยความรู้สึกประทับใจ ในห้องก็เหลือเพียงหยางจงหมิง เจิ้งจิง หลินเยวียน และลู่เซิ่งสี่คนเท่านั้น
“ผมยอมรับความพ่ายแพ้”
ลู่เซิ่งยิ้มอย่างซื่อตรง “วันนี้ขายหน้าจริงๆ ”
หลินเยวียนส่ายหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “เครื่องลายครามชนะด้วยเนื้อเพลง ส่วนด้านการประพันธ์ทำนองอาจารย์ลู่เซิ่งไม่ได้แพ้เลย ผมชื่นชมผลงานของคุณมากเช่นกัน”
หลินเยวียนไม่ได้แสร้งถ่อมตัว
สิ่งที่เขาพูดนั้นมาจากใจจริง
ในแง่ของการประพันธ์เพลงเพียงอย่างเดียว เพลงเครื่องลายครามไม่ได้เอาชนะลู่เซิ่งแบบขาดลอย
คู่แข่งที่แท้จริงของลู่เซิ่งไม่ใช่หลินเยวียน แต่เป็นการรวมพลังกันของประธานโจวกับฟางเหวินซาน[1]ต่างหาก!
หากแข่งขันกันในแง่การประพันธ์ทำนองเพลงเสน่ห์สายชล ของลู่เซิ่งสามารถทัดเทียมกับประธานโจวได้อย่างแน่นอน!
สรุปแล้ว เพลงเครื่องลายครามชนะก็เพราะความได้เปรียบจากฟางเหวินซาน
ต้องเข้าใจว่า ฟางเหวินซานเป็นนักเขียนเนื้อเพลงระดับท็อปของโลก และเนื้อเพลงเครื่องลายครามก็นับเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาเลยทีเดียว!
ลองคิดดู
หากเพลงนี้ไม่มีเนื้อร้องที่สมบูรณ์แบบจากฟางเหวินซาน เพลงนี้ยังจะโดดเด่นขึ้นมาจากเพลงจีนสไตล์คล้ายๆ กันของโจวตงและกลายเป็นเพลงจีนที่คนมากมายยกย่องว่าเป็นที่สุดได้อีกไหม?
“ไม่ต้องปลอบใจผมหรอก”
ลู่เซิ่งยิ้มอย่างยอมรับความจริง “ผมเป็นคนที่รักศักดิ์ศรี แต่ไม่ใช่คนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ เอาเพลงนี้ของนายไปใช้ในเดือนธันวาคมเถอะ เดือนพฤศจิกายนน่ะ ผมขอถอนตัว”
[1] ฟางเหวินซาน (Vincent Fang) นักเขียนเนื้อเพลง นักเขียน ผู้กำกับ และนักเขียนบทชาวไต้หวัน ผู้เขียนเนื้อเพลงเครื่องลายคราม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอน 837-839 ไม่มีข้อความเลยครับ...