เข้าสู่ระบบผ่าน

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 870

ตอนที่ 870 เรามีภาพวาดแบบนี้ทั้งหมดห้าภาพ (1)

“ภาพนี้สุดยอดมาก!”

ในขณะที่หวังซินวางสายโทรศัพท์ เสียงของหวังเยวี่ยก็ดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเธอแทบจะแนบไปกับกระจกที่กั้นภาพนั้นไว้!

“เหลือเชื่อ!”

ภรรยาของหวังซินจ้องมองภาพนั้นเช่นกัน แววตาเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล ปากพึมพำเบาๆ ว่า “ทำไมบนโลกนี้ถึงมีภาพวาดแบบนี้อยู่ได้…”

หวังซินไม่ได้พูดอะไร

เขายืนจ้องมองภาพนั้นพร้อมกับครอบครัว ลมหายใจเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหลงใหลขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง!

ห้าแสนหยวนต่อคืน?

หวังซินรู้สึกว่าใช้เงินได้คุ้มค่าเหลือเกิน!

ไม่สิ!

เขายังรู้สึกเหมือนตัวเองได้กำไรด้วยซ้ำ!

ในฐานะเศรษฐีจากจ้าวโจว และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม หวังซินเคยเห็นผลงานซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผลงานระดับปรมาจารย์บ้าง ถึงขั้นซื้อผลงานเหล่านั้นมาตกแต่งห้องทำงานเพื่อเสริมภาพลักษณ์อยู่ไม่น้อย

ในงานพบปะสังสรรค์ของเหล่าเศรษฐี

เขามักจะได้ยินผู้คนพูดถึงจิตวิญญาณแห่งศิลปะของผลงานศิลปะระดับปรมาจารย์อยู่บ่อยครั้ง

อย่างไรก็ตาม แม้ภายนอกเขาจะทำทีเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของคนอื่น แต่ลึกๆ แล้วเขากลับไม่ได้เชื่อถืออะไรมากมาย การซื้อภาพวาดหรืองานเขียนอักษรนั้นก็แค่เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์เท่านั้นเอง ไม่อยากให้ใครมองว่าเขาเป็นเศรษฐีไร้ที่มาที่ไปไร้มีรสนิยม

แต่แล้ววันนี้เอง!

หวังซินเข้าใจเป็นครั้งแรก!

ว่าภาพเขียนภาพหนึ่งสามารถสะเทือนจิตใจคนได้อย่างแท้จริง ถ่ายทอด จิตวิญญาณแห่งศิลปะที่ลึกซึ้งออกมา!

นี่คือจิตวิญญาณแห่งศิลปะ

หวังซินได้สัมผัสถึงจิตวิญญาณแห่งศิลปะในตำนานเป็นครั้งแรกในชีวิต!

เป็นความงดงามที่ไม่อาจบรรยายได้ และเพียงแค่ชำเลืองมองก็ทำให้เขาหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น

เขารู้สึกราวกับว่าสามารถสัมผัสถึงสารัตถะที่ภาพนี้ต้องการสื่อ สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ที่สามารถมองลงมาจากสรวงสวรรค์และกลืนกินแผ่นดินทั้งหมดไว้ได้อย่างชัดเจน

หัวใจของเขาคล้ายจะโปร่งโล่งมากขึ้น

ความฮึกเหิมภายในจิตใจพลุ่งพล่าน!

การหล่อหลอมจิตใจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ล้วนเกิดขึ้นจากภาพนี้ ครั้งสุดท้ายที่หวังซินได้สัมผัสความรู้สึกนี้ได้ครั้งสุดท้ายเมื่อเขาประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงาน!

และในขณะนี้เขามีเพียงความคิดเดียวในหัวว่า

ไม่ว่าจะต้องทุ่มเงินมากแค่ไหน เขาก็ต้องการซื้อภาพนี้ไว้เพื่อตัวเอง เพื่อชื่นชมและสะสมส่วนตัว!

ในขณะนั้นเอง

โทรศัพท์จากเลขาก็ดังขึ้น

หวังซินรีบกดรับอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ว่าไงบ้าง?”

เลขาตอบด้วยน้ำเสียงแปลกชอบกล “ผู้จัดการบอกว่าทางโรงแรมไม่ขายภาพพวกนี้ครับ…”

“ไม่ขายงั้นหรือ…”

หวังซินสีหน้าสลดลงทันที

เขาพอจะเข้าใจเหตุผล เพราะถ้าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมเอง ก็คงไม่มีวันขายภาพพวกนี้เช่นกัน และจะไม่ยอมเอาภาพล้ำค่าแบบนี้มาแขวนไว้ในห้องพักโรงแรมด้วยซ้ำ!

เลขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ประธานครับ ถ้าท่านชอบภาพวาดจริงๆ ที่จ้าวโจวบ้านเราก็มีศิลปินชั้นครูตั้งหลายคน…”

หวังซินสวนกลับอย่างไม่ลังเล ในสายตาเขาภาพเหล่านั้นไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิง!

แต่ภาพตรงหน้านั้นต่างออกไป แตกต่างจากผลงานศิลปะทุกชิ้นที่เขาเคยเห็น!

หวังซินยืนยันในความรู้สึกนี้ของตนเองอย่างแน่วแน่

แม้จะยังมีความเสียดายอยู่ในใจ เขาก็สูดลมหายใจลึกระงับอารมณ์ก่อนจะพูดว่า

“สามสี่คืนต่อจากนี้ ผมจะพักที่โรงแรมนี้ รวมไปถึงต่อไปนี้ผมจะพักที่โรงแรมนี้ทุกครั้งที่มาจ้าวโจว โรงแรมอื่นเลิกคิดไปได้เลย!”

“เข้าใจแล้วครับ”

แม้ในใจของเลขาจะเต็มไปด้วยคำถามนับไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงความเห็นขัดแย้งต่อการตัดสินใจของเจ้านาย

“จริงสิ”

หวังซินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเสริมว่า

“พรุ่งนี้คุณเหมียวกับคุณฟางจะมาคุยธุรกิจกับผม แจ้งพวกเขาเลยว่าให้มาพบที่โรงแรมนี้ก็แล้วกัน”

“ให้สองท่านนั้นมาที่นี่เหรอครับ?”

เลขาลังเลเล็กน้อย เอ่ยเตือนด้วยเจ้านายของตนอย่างอดไม่ได้ “การเจรจาครั้งนี้สำคัญต่อเรามาก ถ้าปล่อยให้พวกเขาเดินทางมาหาเราเองที่โรงแรม ทั้งสองท่านอาจรู้สึกว่าเราขาดความใส่ใจหรือเปล่าครับ?”

“ช่างเถอะ ผมโทรเองก็แล้วกัน”

หวังซินไม่ได้อธิบายอะไรกับเลขา เนื่องจากการเจรจาธุรกิจครั้งนี้สำคัญมาก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเชิญทั้งสองคนมาที่โรงแรม!

เศรษฐีทั้งสองที่เขาจะพบ ต่างก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ

แม้แต่ตัวเขาเองซึ่งไม่ได้เข้าใจศิลปะลึกซึ้ง ยังรู้สึกประทับใจและถูกดึงดูดโดยภาพวาดตรงหน้า

ฟางโม่ข่านกับเหมียวไป่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังยอมเดินตามหวังซินขึ้นไปอย่างไม่รีบร้อน

ทั้งสองมองหน้ากันหนึ่ง ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินตามหวังซินเข้าไปในโรงแรม

ไม่กี่นาทีผ่านไป

ทั้งสามคนก็มาถึงห้องสวีต

ภรรยาและลูกสาวของหวังซินปลีกตัวออกไปอยู่ในห้องอื่น

ส่วนหวังซินพาทั้งสองคนมายืนหน้าภาพวาดภาพอินทรีสยายปีกกลืนแผ่นดิน กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ที่เชิญแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านมาที่โรงแรมในครั้งนี้ หวังซินมิได้มีเจตนาใดที่ไม่สมควร เพียงแต่ผมค่อนข้างด้อยความรู้เรื่องศิลปะ ทราบว่าสองท่านให้ความสนใจในภาพวาดและการเขียนตัวอักษรเป็นอย่างมาก พอดีในห้องสวีตนี้มีภาพวาดที่ประทับใจผมอย่างลึกซึ้ง จึงอยากเชิญสองท่านผู้เชี่ยวชาญมาช่วยวิเคราะห์และวิจารณ์ให้ครับ”

ในสถานการณ์ที่เป็นทางการเช่นนี้ หวังซินแสดงออกถึงสไตล์การพูดที่โดดเด่นแบบชาวจ้าวโจว

ฟางโม่ข่านและเหมียวไป่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะลอบขำในใจ

หวังซินคนนี้แม้จะเป็นคนจ้าวโจว แต่ในแวดวงมหาเศรษฐีของโลก เขาเป็นที่รู้จักในฐานะเศรษฐีใหม่ผู้ไร้รสนิยม ที่มักทำตัวเป็นคนมีวัฒนธรรม แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีความเข้าใจเรื่องศิลปะแม้แต่น้อย

คนแบบนี้จะดูออกได้ยังไงว่าภาพไหนเป็นภาพที่ดี?

และภาพที่เขากำลังพูดถึงก็เป็นเพียงภาพในโรงแรมเสียด้วย

ทั้งสองคนมีความคิดแบบเดียวกันผุดขึ้นในใจ ต่างคนต่างเบ้ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงเดินไปยืนข้างหวังซินอย่างไม่ใส่ใจมากนัก และมองไปยังภาพวาดแผ่นกระจกใสซึ่งกินพื้นที่ทั้งกำแพง

เพียงแค่แรกเห็น

ประธานเหมียวและประธานฟางก็ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง ราวกับถูกฟ้าผ่าแสกหน้า!

ในภาพวาด

เทือกเขาสีเขียวปกคลุมด้วยหมอกหนาและหุบเขาลึกตระการตา

น้ำตกที่พรั่งพรูลงมาราวกับทางช้างเผือกจากเก้าชั้นฟ้า

และท่ามกลางเมฆหมอกนั้น นกอินทรีตัวหนึ่งสยายปีกโผบิน สายตาอันคมกริบของมันจับจ้องมาจนพลอยให้รู้สึกประหนึ่งถูกสะกดจิต อินทรีตัวนี้ดูมีชีวิตชีวาจนเหมือนพร้อมจะทะลุออกมาจากกรอบภาพอย่างไรอย่างนั้น!

ฝีพู่กันอันยอดเยี่ยม!

การจัดวางองค์ประกอบที่ทรงพลัง!

หวังซินยืนยิ้มอย่างพึงพอใจอยู่ด้านข้าง

ทั้งสองคนมีปฏิกิริยาเป็นไปตามที่หวังซิน คาดไว้ไม่มีผิด เพราะเมื่อคืนเขาเองก็จ้องภาพนี้จนดึกดื่น เรียกได้ว่าหลงใหลจนวางไม่ลงจริงๆ

“ประธานเหมียวคิดว่าภาพนี้เป็นอย่างไร?”

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศกำลังได้ที่ หวังซินจึงเอ่ยปากถามขึ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน