ตอนที่ 89 เห็นเงินเป็นเศษดิน
เมื่อโหยวหรงอ่านเรื่องวาระสุดท้ายของเสมียนรัฐจบ ในใจก็นึกอยากรอการประกาศรายชื่อนักเขียน ตนจะต้องไปดึงตัวอีกฝ่ายมา ฝีมือของอีกฝ่ายเยี่ยมยอดมาก
แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่า คนคนนี้ก็คือฉู่ขวงที่ปู้ลั่วไปแย่งมาจากใต้จมูกของตน!
สำหรับผลของเรื่องนี้ ทำให้โหยวหรงโมโหจนถลึงตาโต รู้สึกราวกับบ้านถูกยกเค้าอย่างไรอย่างนั้น
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารอ่านสนุก เขาควบคุมอารมณ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว “ฉันจะต้องแย่งคนกลับมาให้ได้”
ในใจของโหยวหรงยังคงคุกรุ่น
ฉู่ขวงได้รับการยอมรับในแวดวงเรื่องสั้นแล้ว อีกฝ่ายไม่ใช่เด็กใหม่แกะกล่องอีกต่อไป หากแต่เป็นดาวรุ่งที่ค่อยๆ โผทะยานขึ้นมาในทั้งวงการเรื่องสั้น เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่แสดงพรสวรรค์อันเจิดจรัสให้เป็นที่ประจักษ์กันแล้ว!
และนักเขียนเปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ได้มีแค่โหยวหรงคนเดียวที่อยากคว้าตัว
สำนักพิมพ์ใหญ่ในฉินโจวต่างก็กระเหี้ยนกระหือรือกันทั้งนั้น
เพราะการแข่งขันในสายอาชีพนี้ดุเดือดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร นักเขียนยอดอัจฉริยะอย่างฉู่ขวง ย่อมดึงดูดความสนใจของทุกฝ่ายได้ง่ายเหลือเกิน
แต่ว่า…
ทางสำนักพิมพ์เหล่านี้ ในตอนนี้คงไม่มีช่องทางการติดต่อฉู่ขวง
ปู้ลั่วสามารถติดต่อฉู่ขวงได้ก็เพราะใช้ข้อได้เปรียบจากแพล็ตฟอร์มล้วนๆ ต้องเข้าใจว่าบัญชีผู้ใช้ของปู้ลั่วนั้นผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ เซกชั่นวรรณกรรมก็แค่ติดต่อไปตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ฉู่ขวงทิ้งไว้ก็ใช้ได้แล้ว
โหยวหรงเชื่อว่า ตราบใดที่ปู้ลั่วไม่โง่งม ก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้อมูลของฉู่ขวงหลุดออกไป
น่าเสียดายที่แผ่นกระดาษไม่อาจห่อเปลวเพลิงได้มิด
น่าเสียดายที่การแทรกซึมในสายงานนั้นรุนแรงมาก ช่องทางในการค้นหาข้อมูลก็มีหลากหลาย ไม่ช้าก็เร็ว สำนักพิมพ์ที่ค่อนข้างใหญ่ในวงการก็สามารถตามหาฉู่ขวงได้อยู่ดี
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ ทำได้เพียงคิดว่ายื้อเวลาได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว คนที่จะมาแย่งชิงฉู่ขวงกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้ก็น่าจะมีแต่เซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่ว
นั่นทำให้โหยวหรงรู้สึกเบาใจลงได้บ้าง
และขณะนั้นเอง
ณ คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเช่นเดียวกัน
ในแผนกแฟนตาซีเยาวชน ก็กำลังถกเถียงกันเรื่องของฉู่ขวง
ทางแผนกนิยายแฟนตาซีเยาวชนไม่ทำเรื่องสั้น นั่นเป็นงานของเพื่อนบ้านอย่างแผนกนิตยสารอ่านสนุก
แต่ถึงอย่างไรฉู่ขวงก็เป็นหนึ่งในนักเขียนที่ขายดีที่สุดของแผนกแฟนตาซีเยาวชนคลังหนังสือซิลเวอร์บลู เหล่าบรรณาธิการในแผนกก็ล้วนติดตามการเคลื่อนไหวนี้
ดังนั้นทันทีที่ฉู่ขวงคว้าอันดับหนึ่งในการประกวดเรื่องสั้นของปู้ลั่ว ก็นำพามาซึ่งการถกเถียงอย่างเป็นวงกว้างในแผนก
“นึกไม่ถึงว่าฉู่ขวงจะเขียนเรื่องสั้นได้สุดยอดขนาดนี้!”
“เก่งทั้งนิยายสั้น แล้วก็นิยายแฟนตาซีเยาวชน พรสวรรค์ในการสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้โหดเกินไปแล้วล่ะมั้ง”
“ถึงว่าล่ะ ฝั่งเรื่องสั้นอยากจะมาแย่งคนของเราไป แต่ฝีมือการเขียนเรื่องสั้นของฉู่ขวงก็คุ้มค่าให้มาแย่งอยู่หรอก”
“ได้ยินว่าแม้แต่ท่านใต้เท้าบรรณาธิการบริหารของพวกเรา ก็ยังชมนิยายสั้นของฉู่ขวงไม่ขาดปาก”
“…”
พูดคุยกันไปได้ครึ่งทาง อยู่ๆ ก็มีบรรณาธิการกล่าวขึ้นมาด้วยความกังวล “หลังจากนี้ฉู่ขวงจะไปเติบโตในเส้นทาง เรื่องสั้น จะไม่เขียนแนวแฟนตาซีแล้วเหรอ?”
ความกังวลนี้ไม่ได้เกินจริง
ฉู่ขวงเป็นหนึ่งในนักเขียนแนวแฟนตาซีเยาวชนที่มีผลงานขายดี สำหรับทั้งแผนกแฟนตาซีเยาวชนแล้ว นักเขียนแบบนี้นับว่าล้ำค่ามาก
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง”
บรรณาธิการบางคนส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ก็แค่นิยายสั้น มีจำนวนตัวอักษรสักเท่าไหร่กัน เขียนเรื่องสั้นจะไปรายได้ดีสู้เขียนนิยายแฟนตาซีเยาวชนได้ที่ไหน”
“รายได้ดี?”
หยางเฟิงบรรณาธิการผู้ประสานงานฉู่ขวงเงยหน้าขึ้นทันที พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นายคิดว่าฉู่ขวงจะสนใจเงินเหรอ”
“…”
หยางเฟิงพูดประโยคนี้จบ ทั้งแผนกแฟนตาซีเยาวชนก็เงียบกริบลงทันใด เห็นได้ชัดว่าทุกคนลอบเห็นด้วยกับหยางเฟิง
ใช่แล้ว
ฉู่ขวงไม่ได้ชอบเงิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน