ตอนที่ 928 น่าหงุดหงิด
ตัวเอกคือเตียกุนป้อ!
บรรดาชาวเน็ตผู้สนับสนุนเตียกุนป้อพากันดีใจ เพราะบทที่สองของดาบมังกรหยกมีทิศทางที่ชัดเจนมาก!
ในบทนี้
สามปราชญ์แห่งคุนหลุนฮ่อจ๊กเต๋าได้ท้าทายวัดเส้าหลิน แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับกักเอี้ยง พระลูกวัดที่แทบไม่มีชื่อเสียง รวมถึงหลวงจีนน้อยเตียกุนป้ออีกคนอย่างต่อเนื่อง!
นี่แทบจะเป็นการประกาศ ‘จุดจบ’ ของฮ่อจ๊กเต๋าเลยก็ว่าได้!
มีตัวเอกเรื่องไหนบ้างที่โผล่มาครั้งแรกก็โดนตัวประกอบตบหน้าไม่หยุด?
เตียกุนป้อกลับโดดเด่นขึ้นมาเพราะได้หักหน้าฮ่อจ๊กเต๋าไปเล็กน้อย แถมยังได้โอกาสโชว์เหนืออีกด้วย ทว่าเขากลับพลาดพลั้ง ดันเผลอเปิดเผยว่าตัวเองรู้เพลงหมัดอรหันต์
ถ้าไม่ใช่พระเอกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!
ต้องเข้าใจว่าวัดเส้าหลินเคร่งครัดเรื่องการห้ามลอบเรียนวิชา ตามหลักแล้วเตียกุนป้อไม่มีทางรู้เพลงหมัดอรหันต์นี้ได้เลย ดังนั้นเมื่อเขาพลั้งเผลอเผยไต๋ออกมา เท่ากับว่าเขากลายเป็นศัตรูกับเส้าหลินไปโดยปริยาย!!
ทางวัดต้องการจับตัวเขาไปลงโทษ
กักเอี้ยงผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่อาจทนเห็นศิษย์ของตนต้องเผชิญเคราะห์กรรมได้ จึงพาเตียกุนป้อและก๊วยเซียงหนีออกจากวัดเส้าหลิน!
งานโชว์เหนือก็มาแล้ว!
ปมขัดแย้งก็มาแล้ว!
รัศมีพระเอกของเตียกุนป้อแทบจะปรากฏออกมาอย่างชัดเจน!
ยังไม่นับว่า ก่อนที่หลวงจีนกักเอี้ยงจะสิ้นใจ เขาได้สวดมนต์ออกมาเสียงดัง ทว่ากลับไม่ใช่บทสวดธรรมดา แต่เป็นคาถาวิทยายุทธ์ชุดหนึ่งซึ่งคล้ายกับว่าจะเป็นคัมภีร์เก้าเอี้ยง
และด้วยสถานการณ์พิเศษนี้เอง ก๊วยเซียงและเตียกุนป้อจึงได้รับเคล็ดวิชาสำคัญของคัมภีร์เก้าเอี้ยง!
เนื้อเรื่องยังเน้นย้ำอีกว่า
เตียกุนป้อตั้งสมาธิตั้งใจฟังคำบริกรรมของกักเอี้ยงอย่างตั้งใจ ไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
นี่หมายความว่าเตียกุนป้อกำลังลอบเรียนคัมภีร์เก้าเอี้ยงอยู่ไม่ใช่หรอกหรือ?
พลังของวิชานี้จะร้ายกาจเพียงใด ผู้อ่านย่อมสามารถจินตนาการได้
เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ก็เชื่อมโยงกับยอดคัมภีร์ซึ่งถูกกล่าวถึงในนิยายสองเล่มก่อนหน้านี้อย่างคัมภีร์เก้าอิม
เก้าอิม…
เก้าเอี้ยง…
ชื่อวิชาเรียกขานกันได้อย่างสอดคล้องเช่นนี้ ย่อมแปลว่าทั้งสองต้องอยู่ในระดับเดียวกัน จุดนี้ไม่มีใครสงสัย
เตียกุนป้อได้เรียนวิชานี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไร?
ได้รับอภิสิทธิ์ระดับบุตรแห่งโชคชะตาไปเต็มๆ เลยน่ะสิ เหนือกว่าทั้งเอี้ยก้วยและก๊วยเจ๋งเสียอีก!
อย่างน้อยที่สุด สองตัวเอกก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาในช่วงต้นของเรื่องแบบนี้
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ มีคนเริ่มจินตนาการภาพของเตียกุนป้อที่บุกกลับไปยังวัดเส้าหลิน พร้อมทั้งอวดฝีมืออันเหนือชั้น และบางคนถึงขั้นจับคู่ให้เตียกุนป้อกับก๊วยเซียงกลายเป็นคู่รักแห่งชาติคู่ที่สามของมังกรหยกไตรภาคไปแล้ว!
‘แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน’
‘ก๊วยเซียง ลืมเอี้ยก้วยไปเสียเถิด’
‘เตียกุนป้อต่างหากที่เป็นคู่แท้ของเจ้า!’
ผู้อ่านบางส่วนที่รู้สึกสงสารก๊วยเซียงมาโดยตลอด คิดเช่นนี้ในใจ
ในสายตาของทุกคน ก๊วยเซียงค่อยๆ เปลี่ยนจากบทตัวเอกไปเป็นบทนางเอกของเรื่อง
อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างก๊วยเซียงกับเตียกุนป้อนั้นชวนให้รู้สึกเหมือนนางเอกกับพระเอกมากจริงๆ
เมื่อกักเอี้ยงจากไป เตียกุนป้อไร้ที่พึ่งและรู้สึกสับสน ก๊วยเซียงกลับมอบกำไลข้อมือของตนให้ พร้อมทั้งแนะนำให้ไปพบพ่อแม่ของตน
นั่นก็คือก๊วยเจ๋งและอึ้งย้ง
ให้ตายสิ
ของแทนใจก็มาแล้ว
ยังจะกล้าบอกอีกเหรอว่าเตียกุนป้อไม่ใช่ตัวเอก!
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูแปลกไปหน่อย ตรงตอนจบของบทที่สอง ดูเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล?
เพราะตอนจบของบทที่สอง ฉู่ขวงกลับใช้วิธีเขียนแบบวสันตศาสตร์ เขียนบรรยายสั้นกระชับ ก่อนจะข้ามเวลาไปกว่าสิบปีในพริบตา!
ในหนังสือบรรยายว่า […
วันหนึ่งระหว่างที่เดินเล่นอยู่ในหุบเขา เบื้องบนก้อนเมฆลอยคล้อย เบื้องล่างสายน้ำไหลริน ทุกสิ่งแลดูสงบนิ่ง เตียกุนป้อเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในใจ
เขาเก็บตัวอยู่ในถ้ำ ครุ่นคิดใคร่ครวญเป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ทันใดนั้นกลับเข้าใจแจ่มแจ้งถึงแก่นแท้ของหลักการใช้อ่อนสยบแข็ง จนอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้
เสียงหัวเราะนั้น หาใช่เพียงเสียงแห่งความตื่นรู้ หากแต่เป็นเสียงของผู้ที่ค้นพบหนทางแห่งยุทธ์ เสียงแห่งการถือกำเนิดของยอดจอมยุทธ์!
เขาใช้หลักการต่อสู้ที่แตกฉานด้วยตนเอง ผสานกับแนวคิดแห่งเต๋าอันว่าด้วยความกลมกลืนและความเป็นหนึ่งเดียวในธรรมชาติ ผสานกับพลังปราณที่บันทึกไว้ฝนคัมภีร์เก้าเอี้ย รังสรรค์สุดยอดเคล็ดวิชาบู๊ตึ๊งที่จะเจิดจรัสเหนือยุทธภพและส่องสว่างชั่วกาลนาน
ต่อมา เมื่อเดินทางไปทางเหนือ จนพบยอดเขาสามลูกตั้งตระหง่านเหนือทะเลหมอก เขาตรึกตรองแนวทางแห่งยุทธ์จนบังเกิดปัญญาแจ่มชัด และนับแต่นั้นเป็นต้นมา จึงได้เปลี่ยนนามของตนเป็น ‘เตียซำฮง’
จอมยุทธ์ผู้เป็นตำนานแห่งประวัติศาสตร์ยุทธภพ ยอดคนที่หาใครเสมอเหมือนมิได้ เตียซำฮง!]
นี่คือความสงสัยเดียวที่ยังค้างคาใจ
ทุกคนต่างงุนงงว่าทำไมฉู่ขวงถึงเลือกเขียนแบบนี้ กระโดดข้ามกาลเวลาหลายปีไปในชั่วพริบตา เขียนให้เตียกุนป้อกลายเป็นมหาจอมยุทธ์ แล้วยังเปลี่ยนชื่อเป็นเตียซำฮงอีก!
เจิดจรัสเหนือยุทธภพ!
ส่องสว่างชั่วกาลนาน!
ฉู่ขวงใช้มุมมองของผู้เล่าเรื่อง มอบคำชื่นชมอันสูงส่งให้กับเตียซำฮงจนทำให้ผู้อ่านงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
‘งั้นเรื่องนี้เป็นแนวตัวเอกเทพตั้งแต่ต้นใช่ไหม?’
‘เปิดเรื่องมา ตัวเอกก็เป็นมหาจอมยุทธ์ไปแล้วเนี่ยนะ!?’
‘เจ้าแก่ฉู่ขวงไม่เขียนแนวตัวละครเล็กๆ ไต่เต้าขึ้นมาอีกแล้วเหรอ?’
‘ฉันยังลังเลว่าเตียกุนป้อเป็นตัวเอกจริงไหม เพราะฉันรู้สึกว่าฉากนี้มันเหมือนการบรรยายสรุปมากกว่า เปิดเผยถึงความสำเร็จของเขาอย่างตรงไปตรงมา การใช้วิธีเล่าเรื่องแบบสปอยล์กลายๆ แบบนี้ ไม่น่าจะเป็นสไตล์ของเจ้าแก่ฉู่ขวงเลยนะ’
‘ผมก็รู้สึกแบบนั้นเลย!’
‘ถ้าไม่มีการบรรยายสรุปช่วงสุดท้าย การบอกว่าเตียกุนป้อเป็นตัวเอกก็คงไม่มีปัญหา แต่นี่สรุปตอนท้ายมันแปลกเกินไป เหมือนเรื่องราวของเตียกุนป้อ ถูกเล่าแบบรวบรัดไปหมดในไม่กี่ประโยค รู้สึกเหมือนโดนสปอยล์ล่วงหน้าเลย อีกอย่าง ถ้าเขาเป็นตัวเอกจริงๆ ล่ะก็ อายุจะไม่มากไปหน่อยเหรอ?’
เป็นอย่างที่คิด
เพราะบทสรุปแปลกๆ ในตอนจบของบทที่สอง ทำให้ยังมีผู้อ่านบางส่วนไม่ปักใจเชื่อว่าเตียกุนป้อเป็นพระเอกตัวจริง
ผู้อ่านกลุ่มนี้เริ่มสงสัย
‘ผมมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย’
‘ฉันก็เหมือนกัน!’
‘ผมก็คิดแบบนั้น!’
‘เจ้าแก่ฉู่ขวงคิดจะเล่นอะไรอีกแล้วหรือเปล่า?’
‘ถึงยังไงสำหรับหมอนี่แล้ว การเขียนนิยายแบบเป็นไปตามลำดับขั้นตอนน่ะหรือ ลืมไปได้เลย!’
…
ในขณะเดียวกัน
นักเขียนในวงการนิยายกำลังทยอยอ่านบทที่สองกัน
“บทที่สองนี่มันหมายความว่าไง จังหวะเรื่องไปคนละทางกับที่ผมคิดไว้เลย”
“ความคิดของฉู่ขวงนี่เข้าใจยากจริงๆ”
“ในสองเรื่องก่อนหน้าของเขาก็เป็นแบบนี้ พล็อตหักมุมตลอด เหมือนตอนศึกเทพอภินิหารจ้าวอินทรีที่อยู่ดีๆ ก็เขียนให้เซียวเหล่งนึ่งถูกพรากพรหมจรรย์ เอี้ยก้วยเสียแขนอีก ของแบบนี้ใครจะไปคิดออก เอาให้ชัดก็ใครจะกล้าคิด?”
“จากประสบการณ์ของฉันนะ เตียกุนป้อไม่น่าจะใช่ตัวเอกแล้วละ”
“ดูท่าจะมีคนเดาถูกว่าตัวเอกตัวจริงยังไม่ออกโรงในสองบทแรก คงต้องรอบทที่สามแล้วละ”
“เปิดเรื่องได้ช้าจริงๆ มีแค่ฉู่ขวงเท่านั้นแหละที่กล้าเขียนแบบนี้ แล้วคนอ่านก็ดันยอมรับด้วยนะ”
“ก็เพราะทุกคนรู้ถึงฝีมือของเขายังไงล่ะ”
“ฝีมือเขาโหดจริงๆ พวกคุณยังจำจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผลในบทแรกได้ไหม ทำไมจู่ๆ เส้าหลินถึงโผล่มาล่ะ”
“แต่ในบทนี้ ก็ได้รับคำอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว”
วัดเส้าหลินในฐานะขุมพลังหลักแห่งยุทธจักร แต่กลับมีบทบาทน้อยเหลือเกินในมังกรหยกและศึกเทพอภินิหารจ้าวอินทรี
สำหรับสำนักระดับแนวหน้าของยุทธจักรแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้นหลังจากที่บทแรกถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้อ่านหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการเริ่มต้นเรื่องราวด้วยวัดเส้าหลินนั้นดูไม่สมเหตุสมผล
แต่แล้วในบทที่สอง ฉู่ขวงก็พลิกปากกาอธิบายสาเหตุทั้งหมด
แท้จริงแล้ว ในยุคของมังกรหยกและศึกเทพอภินิหารจ้าวอินทรี วัดเส้าหลินเคยเกิดเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า ‘เหตุการณ์สมณะก่อไฟ’ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสำนัก!
ในอดีตมีสมณะซึ่งมีหน้าที่ก่อไฟประจำครัววัดเส้าหลินคนหนึ่ง เขาถูกสมณะซึ่งมีหน้าที่ควบคุมแรงงานกดขี่ข่มเหงเป็นเวลานานจนเกิดความคับแค้นใจ จึงแอบลักลอบฝึกวิชาของเส้าหลิน
และในวันประลองยุทธ์กลางเทศกาลไหว้พระจันทร์ของเส้าหลิน
สมณะก่อไฟก็เผยความสามารถอันร้ายกาจออกมา ถึงขั้นสังหารหลวงจีนโค้วตี่ ซึ่งเป็นสมณะอาวุโสอันดับหนึ่งของวัดในขณะนั้น
บรรดาผู้อ่านที่ปักใจเชื่อว่าเตียกุนป้อคือพระเอกของเรื่อง เมื่อเห็นฉากนี้ต่างพากันอึ้งตาค้างก่อนจะระเบิดอารมณ์ด่ากันลั่น!
‘บ้าเอ๊ย!’
‘เจ้าแก่ฉู่ขวง!’
‘อะไรกันเนี่ย!’
‘คืนก๊วยเซียงวัยสาวของผมมา!’
‘ไหนบอกว่าเตียกุนป้อเป็นพระเอก ก๊วยเซียงเป็นนางเอกไง แล้วนี่อายุเก้าสิบกว่าแล้วจะเป็นตัวเอกยังไง!?’
‘นี่มันพล็อตบ้าอะไรกัน ที่แท้การปรากฏตัวของก๊วยเซียงก็แค่เป็นจุดเปลี่ยนผ่านของเนื้อเรื่องเท่านั้นเองเหรอ!?’
‘ก๊วยเจ๋งล่ะ! อึ้งย้งล่ะ! ตัวละครจากยุคมังกรหยกกับศึกเทพอภินิหารจ้าวอินทรีหายไปไหนหมด! ตายกันหมดแล้วเหรอ? ไหนก่อนหน้านี้ใครบอกว่าเจ้าแก่ฉู่ขวงขุดหลุมไว้ใหญ่ ให้พวกเราทนอีกหน่อย นี่มันใหญ่เกินไปแล้ว ทนไม่ไหวแล้วนะ!’
‘ดูจากแนวทางของเนื้อเรื่อง หรือว่าตัวเอกตัวจริงจะเป็นเตียชุ่ยซัว!?’
‘เจ้าแก่ฉู่ขวงนี่มันเก่งเรื่องหักหน้าคนอ่านจริงๆ ตัวเอกของเรื่องจะปรากฏตัวช้าเกินไปแล้วนะ!’
เหล่าผู้อ่านพากันงุนงง!
รู้สึกเหมือนสองบทแรกที่อ่านมานั้นสูญเปล่า!
มิน่าล่ะเจ้าแก่ฉู่ขวงถึงได้ใจดี ปล่อยให้อ่านออนไลน์ก่อน!
จะเรียกสองบทแรกว่าเป็นการเปิดเรื่องของนิยายก็คงไม่ถูก เรียกว่าปูพื้นหรือแม้กระทั่งแค่บทนำของเรื่องจะเหมาะกว่า!
ด้วยบุคลิกที่สุภาพเรียบร้อย รูปร่างโปร่งไร้พิษสง แต่กลับแฝงด้วยฝีมือยุทธ์อันลึกล้ำ ตัวเอกตัวจริงของเรื่อง ดูเหมือนจะเป็นเตียชุ่ยซัวที่เพิ่งจะโผล่มาในบทที่สาม!?
แต่บทที่สามนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ฉู่ขวงไม่เหมือนนักเขียนคนอื่น!
นักเขียนทั่วไปมักจะเขียนบทสั้นๆ ไม่ยืดยาว บทของเขานั้นทั้งยาว หนา และอัดแน่นไปด้วยเนื้อหา บทหนึ่งก็จัดไปสองหมื่นคำเลยทีเดียว!
เมื่อถึงตอนที่เตียชุ่ยซัวออกโรงจริงๆ จำนวนคำของนิยายเรื่องนี้ก็ทะลุห้าหมื่นคำไปแล้ว!
ปริศนา!
ปริศนาขนาดมหึมา!
โลกออนไลน์ต่างแตกตื่น!
ผู้อ่านต่างมีทั้งคนที่ไม่พอใจ คนที่รู้สึกทึ่ง คนที่ทอดถอนใจ และคนที่ทำได้เพียงส่ายหัวอย่างจนใจ หลากหลายความรู้สึกปะปนกันไป
แต่ต้องยอมรับว่าพล็อตนี้ไม่ได้แย่
หลังจากผ่านเหตุการณ์ประตูมังกรมาแล้ว ระดับความอดทนของผู้อ่านก็สูงขึ้นพอสมควร
บอกได้เพียงว่า เจ้าแก่ฉู่ขวงคนนี้ไม่ชอบเขียนนิยายแบบเป็นไปตามสูตรสำเร็จ!
เขาใช้เนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความจงใจให้เข้าใจผิดเล่นตลกกับผู้อ่านได้อย่างแสบสันอีกครั้ง!
ในตอนนี้ มีเพียงผู้อ่านที่ชื่นชอบก๊วยเซียงอย่างสุดหัวใจเท่านั้นที่รู้สึกเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง ราวกับต้องจำใจยอมรับความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ความฝันว่า ‘ก๊วยเซียงจะเป็นตัวเอก’ และ ‘ก๊วยเซียงจะเป็นนางเอก’ ล้วนถูกทำลายลงอย่างไร้ชิ้นดีในบทที่สามนี้เอง!
ดังที่กล่าวว่า ‘พบเอี้ยก้วยเพียงครั้งเดียว พลาดพลั้งทั้งชีวิต’ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดในชีวิตของนาง
นางไม่อาจตกหลุมรักเตียกุนป้อเช่นเดียวกับที่เคยรักเอี้ยก้วยได้อีก แม้ว่าเตียกุนป้อจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
แต่สิ่งนี้เองก็เป็นสิ่งที่ช่วยรักษาภาพลักษณ์ของก๊วยเซียงเอาไว้
ในจุดนี้ ผู้อ่านเองก็มีความรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ
ฉู่ขวงเลือกใช้วิธีการข้ามเส้นเวลาอย่างแยบยล ช่วยลดทอนความรู้สึกที่ควรจะเต็มไปด้วยความอาลัยให้เบาลง
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว
เส้นเรื่องหลักที่ถูกเปิดเผยในบทใหม่นี้กลับดึงดูดความสนใจของผู้อ่านไปเต็มๆ ความคาดหวังต่อเนื้อเรื่องหลังจากนี้พุ่งสูงขึ้นทันที
เส้นเรื่องหลักเริ่มต้นขึ้น!
ดาบฆ่ามังกรพร้อม…
เอาเป็นว่าดาบฆ่ามังกรได้ปรากฏขึ้นแล้ว!
คำกล่าวอันเลื่องชื่อในยุทธภพดังขึ้นเป็นครั้งแรก
จ้าวแห่งยุทธภพ ดาบล้ำค่าสังหารมังกร บัญชาทั่วหล้า ไร้ผู้กล้าขัดขืน!
…………………………………………

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอน 837-839 ไม่มีข้อความเลยครับ...