ตอนที่ 96 ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้เอาซะเลย
เรื่องกระบี่เทพสังหารเวอร์ชันต้นฉบับมีประมาณหนึ่งล้านห้าแสนตัวอักษร ส่วนเวอร์ชันปรับปรุงโดยระบบกลับทำให้เป็นแปดเล่ม มีทั้งหมดหนึ่งล้านหกแสนตัวอักษร เพราะการแนะนำโลกเซียนกำลังภายในของฉบับปรับปรุงนั้นละเอียดกว่า มีทั้งการลบทิ้งและเพิ่มเติม เพียงพอให้หลินเยวียนส่งตีพิมพ์ติดต่อกันได้เกินครึ่งปี…
ต่างกับปรินซ์ออฟเทนนิส
ครั้งนี้หลินเยวียนต้องลงมือด้วยตนเอง
โชคดีที่ความเร็วในการพิมพ์ของหลินเยวียนนั้นสูงมาก
พักผ่อนมาทั้งคืน วันต่อมาก็ไปเรียนที่วิทยาลัย
คลาสเรียนแรก เป็นวิชาของอาจารย์ที่ปรึกษา
อัตราการเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยนั้นเป็นปัญหาหนึ่ง ปรากฏการณ์การโดดเรียนนั้นจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่ามีเพียงคลาสเรียนของของอาจารย์ที่ปรึกษา ที่เหล่านักศึกษาไม่เคยขาดเรียนต่อให้ต้องฝ่าลมฝ่าฝนมาก็ตาม
ช่วยไม่ได้
อาจารย์ประจำสาขาคนอื่นอาจจำชื่อนักศึกษาไม่ได้ ตอนเช็กชื่อมีคนบีบเสียงสักหน่อยแล้วขานตอบก็ได้แล้ว
แต่งานในแต่ละวันของอาจารย์ที่ปรึกษาก็คือพูดคุยกับนักศึกษาในเซค ในเซคมีนักศึกษากี่คนก็รู้จักดีประหนึ่งเป็นนิ้วมือของตนเอง ใครก็อย่าได้คิดจะมาเช็กชื่อแทนเพื่อน
เมื่อถูกอาจารย์ประจำวิชาเพ่งเล็ง อย่างมากก็แค่ถูกปรับตก แต่การถูกอาจารย์ที่ปรึกษาเพ่งเล็งนั้นต่างออกไป
“คืออย่างนี้”
ก่อนที่จะเริ่มเรียน อาจารย์ที่ปรึกษามองไปยังนักศึกษาที่นั่งอยู่ “ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพูดกันไว้แล้วใช่มั้ยว่าในการประเมินประจำปีของปีสอง ทุกคนต้องเขียนเพลงออกมา เดิมทีวางแผนว่าจะให้เวลาพวกคุณถึงปลายเดือนหน้า แต่ไม่นานมานี้วิทยาลัยมีกฎใหม่…”
นักศึกษาต่างเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย
การประเมินของวิทยาลัยเกี่ยวโยงไปถึงผลการเรียนและโควตานักศึกษาแลกเปลี่ยน ทุกคนย่อมใส่ใจเป็นธรรมดา
“ขยายเดดไลน์ไปอีกหนึ่งเดือน”
อาจารย์ที่ปรึกษายกนิ้วขึ้น “กำหนดส่งของการประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นเดือนมิถุนา ผู้ตรวจไม่ได้มีแค่ในวิทยาลัยเรา ขณะเดียวกันก็จะมีคนจากข้างนอกที่บริษัทบันเทิงส่งมาด้วย รายละเอียดว่าเป็นบริษัทไหนกำลังเจรจากันอยู่ ถ้าพวกคุณผลงานดีจนบริษัทถูกใจ การเซ็นสัญญาโดยตรงก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้…”
จ๊อกแจ๊กๆ!
ทั้งชั้นเรียนคึกคักขึ้นมาทันที
ถ้าหากมีการตัดสินจากคนบริษัทบันเทิงในการประเมินประจำปีการศึกษา ความสำคัญของการประเมินประจำปีการศึกษาในครั้งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น!
ทุกคนพยายามกันขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ
ไม่ใช่เพื่ออนาคตที่ดีหลังจากเรียนจบหรอกหรือไง
ในการประเมินของปีการศึกษาครั้งนี้ ถ้าผลงานสามารถทำให้คนจากบริษัทบันเทิงประทับใจได้ ก็เท่ากับก้าวข้ามอุปสรรคนับไม่ถ้วนแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปได้ในก้าวเดียว!
ชั่วขณะนั้นเอง
ทุกคนล้วนแต่ดีอกดีใจ
หลินเยวียนเองก็รู้สึกดีใจ
ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเพื่อนร่วมชั้นเรียนแล้วเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงตัวต่อโลกภายนอก
“เดี๋ยวเธอลองฟังเพลงของฉันหน่อยสิ…”
“แอกคอม[1]ของฉันยังมีปัญหาอยู่นิดหน่อย…”
“พวกเราแบ่งกันดู ช่วยกันออกความเห็นดีกว่า”
“เพลงนี้ของฉันเขียนเสร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว รอโอกาสมาตลอด ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเอามาใช้ตอนประเมินประจำปีการศึกษา แต่คนจากบริษัทบันเทิงมาก็ต่างออกไปแล้ว ฉันต้องหยิบเพลงนี้ออกมา!”
“…”
เพื่อนในชั้นเรียนพูดคุยกัน
เพื่อนในชั้นเรียนล้วนแต่ชื่นชอบหลินเยวียน ต่างคนต่างกันแย่งกันพูด “เรื่องเรียบเรียงเพลงของฉันยังขาดเปียโนท่อนหนึ่ง หลินเยวียนนายเป็นคนหนึ่งที่ฝีมือเปียโนดีที่สุดในเซคเรา ฉันว่านายเก่งกว่าเด็กสาขาเครื่องบรรเลงที่มาช่วยอีก นายมาช่วยฉันหน่อยได้มั้ย”
“อื้ม”
หลินเยวียนพยักหน้า
เขายังคงพูดน้อยเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่เพื่อนๆ ที่มาขอความช่วยเหลือต่างก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที รีบขอบอกขอบใจกันยกใหญ่
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนชื่นชอบในตัวหลินเยวียน
ภายนอกเขาดูท่าทางไม่สนใจหรือคบค้าสมาคมกับใคร ปกติแล้วก็ไม่เห็นใครมาหยอกล้อกับเขา คล้ายกับว่าเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมมากคนหนึ่ง
แต่เมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนมีเรื่องเดือดร้อน เขาก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทุกครั้ง
อย่างหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งก่อน อย่างการขอให้เขาช่วยเรื่องเรียบเรียงเพลงจนสำเร็จ ใช้คำพูดที่ทั้งชั้นเรียนเห็นพ้องต้องกันก็คือ
นี่มันหลินเยวียนมาก
นี่ก็คือสไตล์และจุดเด่นของหลินเยวียน เมื่อไหร่ที่เจอปฏิกิริยาเช่นนี้ กลับรู้สึกว่าน่ารักขึ้นมา อย่างน้อยผู้หญิงหลายคนในเซคก็พูดกันแบบนี้
……
หลินเยวียนไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนกระตือรือร้นชอบช่วยเหลือ แต่คนในชั้นเรียนดีกับเขามากทีเดียว
เมื่อก่อนตอนที่อาศัยในหอพักของวิทยาลัย เพื่อนร่วมห้องก็โอนอ่อนผ่อนปรนตามกิจวัตรประจำวันของเขาตลอด
ฉะนั้นแล้วคำขอของทุกคน หลินเยวียนล้วนตอบรับทั้งหมด อีกทั้งหลังจากลังเลอยู่สามวินาที ก็ตัดสินใจว่าไม่เอ่ยถึงเรื่องคิดเงินจะดีกว่า
ใจกว้างสักครั้งน่ะ!
อีกหลายวันต่อจากนั้น เขาก็ช่วยอัดทำนองบรรเลงเปียโนให้เพื่อนร่วมชั้นมาตลอด
เป็นงานหนักครั้งหนึ่งเลย
เพราะทำนองเปียโนไม่ได้เป็นสิ่งที่อัดไปครั้งเดียวแล้วจบ ระหว่างการอัดเสียงนั้นยากที่จะเลี่ยงปัญหา หลินเยวียนต้องพูดคุยและปรับแก้กับเพื่อนๆ ซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็เสนอความเห็นของตนเองบ้าง
แน่นอนละ
ต้องใช้ความเห็นของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเป็นหลัก ถึงยังไงนั่นก็เป็นผลงานของพวกเขาเอง
เมื่อยื่นมือเข้ามาช่วยแบบนี้แล้ว ทุกๆ วันหลินเยวียนแทบจะเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องอัดเสียงกับห้องเปียโนของวิทยาลัย แม้แต่เวลาที่ไปชมรมจิตรกรรมก็ลดน้อยลง
และในวันที่สามที่หลินเยวียนช่วยเพื่อนร่วมชั้นทำดนตรีประกอบ
หลินเยวียนก็พบกับกู้ซีที่ห้องเปียโนโดยบังเอิญ
“คุณนี่เอง!”
กู้ซีเห็นหลินเยวียน ก็พลันเต็มตื้นขึ้นมา ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรทักทายอีกฝ่ายว่าอย่างไร
เรียกพ่อเพลง ก็แปลกไปหน่อย
เรียกท่านเทพ ก็โอเวอร์ไปหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน