ตอนที่ 969 ไม่ทำแล้ว (1)
งานประชันกวีนิพนธ์หลูซานมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคม
แน่นอนว่า ทุกคนย่อมไม่รอให้ถึงวันจริงแล้วค่อยออกเดินทาง
ในความเป็นจริง
ตั้งแต่คืนวันที่ 30 สิงหาคม
โรงแรมใกล้เขาหลูซานก็เต็มไปด้วยเหล่ากวีจากทวีปต่างๆ
รวมถึงทีมงานจากรายการไปกันกับปลา และตัวแทนจากสมาคมวรรณศิลป์ที่ถูกส่งมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
ตัวแทนจากสมาคมวรรณศิลป์คนนี้ ก็คือผู้อำนวยการหวง ผู้ซึ่งเคยเดินทางไปยังสตาร์ไลท์เพื่อเชิญหลินเยวียนมารับตำแหน่งกรรมการนั่นเอง
ผู้อำนวยการหวงเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมซึ่งไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขัน มาร่วมประชุมกันอย่างรวบรัดหนึ่งรอบ
ระหว่างการประชุม
หลินเยวียนได้พบกับกรรมการอีกแปดคนที่เหลือ
กรรมการทั้งแปดนี้ มาจากทวีปฉิน ฉี ฉู่ เยี่ยน หาน จ้าว เว่ย รวมถึงจงโจว
ทว่ากรรมการทั้งแปดก็ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกแยกอะไรกับสถานะกรรมการพิเศษของหลินเยวียน ต่างคนต่างทักทายกันอย่างเป็นธรรมชาติ
อันหลง…
อวี๋ช่าง…
ฉินเซี่ยวเทียน…
และคนอื่นๆ
ทั้งแปดล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับตำนานในวงการวรรณกรรม หลินเยวียนเองก็เคยอ่านผลงานของบางคนในนั้นมาก่อน จึงรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
แม้แต่ผู้ชมที่เตรียมจะรับชมการถ่ายทอดสดงานกวีนิพนธ์อันยิ่งใหญ่ครั้งนี้
ก็ล้วนคุ้นชื่อของบรรดากรรมการเหล่านี้เป็นอย่างดี
เมื่อการประชุมจบลง
ทุกคนเตรียมจะแยกย้ายกลับห้องพักที่โรงแรม แต่จู่ๆ ผู้อำนวยการหวงก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์เซี่ยนอวี๋รบกวนอยู่ต่อก่อนค่ะ”
“ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้าเบาๆ
บรรดากรรมการที่เหลือเหลือบมองเขาราวกับกำลังมีความคิดบางอย่าง จากนั้นจึงแยกย้ายกันออกจากห้องประชุม มีเพียงกรรมการคนหนึ่งชื่อว่าเหอชิงฮวน ที่ตอนเดินออก ยังหันมาทักเขาสั้นๆ ด้วยรอยยิ้ม
“น้องเซี่ยนอวี๋ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
เหอชิงฮวนเป็นกรรมการจากฉินโจว
หลินเยวียนยิ้มพยักหน้าตอบรับ แม้กรรมการทั้งแปดจะวางตัวเป็นปกติดี แต่เขากลับรู้สึกได้ว่า มีเพียงเหอชิงฮวนคนเดียวเท่านั้น ที่แสดงท่าทีเป็นมิตรกับเขาจริงๆ
นั่นอาจเป็นเพราะหลินเยวียนเองก็เป็นชาวฉินโจวเหมือนกัน
ไม่นานนัก ห้องประชุมก็ว่างเปล่าเหลือเพียงหลินเยวียนกับผู้อำนวยการหวงอยู่ในห้อง
“ที่ฉันให้คุณอยู่ต่อ เพราะอยากคุยเรื่องของพรุ่งนี้ค่ะ”
ผู้อำนวยการหวงเปิดบทสนทนา “ในฐานะที่เธอเป็นหนึ่งในกรรมการ พรุ่งนี้แน่นอนว่าเธอต้องมีส่วนร่วมในการให้คำวิจารณ์ ฉันหวังว่าคุณจะวางตัวให้ถ่อมตนสักหน่อย เราขอเพียงให้คุณเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้พอผ่านๆ ไปก็พอ ไม่ต้องทำอะไรที่ไปขัดใจใคร หรือพูดอะไรที่อาจทำให้คนไม่พอใจ”
“เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้พอผ่านๆ ไป?”
หลินเยวียนถึงกับชะงัก
เขาคิดว่าตนเองฟังผิด
ผู้อำนวยการหวงถอนหายใจพลางหัวเราะอย่างขมขื่น “คำพูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่ค่อยดีนัก แต่พวกเราก็ประเมินความสามารถในการยอมรับของแวดวงศิลปะและวัฒนธรรมสูงเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าคุณจะเป็นกรรมการ เสียงคัดค้านตามมาไม่น้อย คนรุ่นเก่าที่ทรงอิทธิพลจากทวีปต่างๆ โทรมาแสดงความไม่พอใจ ถึงแม้พวกเราจะพยายามกดไว้แล้ว แต่ถ้าคุณแสดงความคิดเห็นแรงเกินไป เกรงว่าคนเหล่านั้นจะรู้สึกไม่พอใจแน่ๆ ”
หลินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตบางอย่างที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก
เขาเคยสวมหน้ากาก โดยใช้ชื่อหลานหลิงอ๋องไปเข้าร่วมรายการราชาหน้ากากนักร้อง
ในระหว่างการแข่งขัน เขามักจะวิจารณ์ผลงานของนักร้องคนอื่นๆ สิ่งที่เขาพูดล้วนเป็นความจริงหรือไม่ก็ความคิดเห็นที่มาจากใจจริง แต่ผลที่ตามมาก็คือ เขาทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ และสุดท้ายก็โดนแฟนคลับของนักร้องหลายคนรุมถล่ม
ตอนนั้นในโลกออนไลน์มีคนมากมายเตือนเขาว่า
ตอนแข่งก็พูดให้น้อยหน่อย จะได้ไม่ต้องมีใครเสียหน้า คุณดี ฉันดี ทุกคนก็ดี
สรุปใจความได้ว่า มีคนไม่ยอมรับ คิดว่าเขาในฐานะหลานหลิงอ๋อง ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปวิจารณ์นักร้องคนอื่น
จนกระทั่งเขาเปิดเผยตัวตนว่าเขาคือเซี่ยนอวี๋ ตั้งแต่จึงไม่มีใครกล้าคัดค้านเขาอีกเลย
และตอนนี้
ดูเหมือนว่าเขากำลังเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายกันอีกครั้ง
ความแตกต่างก็คือ
ครั้งนี้เขาไม่มีตัวตนลับมาเป็นไพ่ตายเฉกเช่นคราวก่อน
เพราะฉะนั้น
แม้แต่ตัวแทนจากสมาคมวรรณศิลป์อย่างผู้อำนวยการหวง ยังต้องออกปากเตือนหลินเยวียนให้พูดให้น้อยเข้าไว้ ผู้อำนวยการหวงดูเหมือนจะเดาใจหลินเยวียนออก “พวกเราสมาคมวรรณศิลป์ติดตามคุณมาตลอด ก็ถือว่าพอเข้าใจนิสัยคุณอยู่บ้าง รู้ว่าคุณเป็นคนพูดตรงไปตรงมา แต่ถ้าคุณไปวิจารณ์ใครแรงเกินไป กวีเหล่านั้นคงโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟเลยละค่ะ พรุ่งนี้เป็นการถ่ายทอดสด จะมีผู้ชมจำนวนมหาศาลดูอยู่ คุณแค่ตามแนวทางของกรรมการอีกแปดคนไปก็พอค่ะ ชมได้ก็ชม อย่าวิจารณ์ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้ค่ะ คุณทำแบบนั้นได้ไหมคะ?”
หลินเยวียนเงียบไป
ผู้อำนวยการหวงจ้องมองเขา
อยู่พักใหญ่
หลินเยวียนจึงตอบสั้นๆ ว่า “ได้ครับ”
เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ในเมื่ออีกฝ่ายพูดมาถึงขนาดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องดื้อดึงต่อไป
ใช้คำพูดแบบที่จินมู่เคยบอกไว้ว่า
นี่คือโอกาสที่สมาคมวรรณศิลป์ยื่นมาให้เขาเอง
การได้เป็นกรรมการในงานประชันกวีนิพนธ์
ก็ถือเป็นเครดิตสำคัญสำหรับเส้นทางในอนาคตของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นผู้อำนวยการหวงก็ไม่ได้ขอให้เขาเล่นตุกติกอะไร แค่เล่นเบาๆ หน่อยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
“เฮ้อ…”
ผู้อำนวยการหวงถอนหายใจโล่งอก “คุณคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว นี่คือเครดิตที่เขายกมาให้ถึงที่ เราก็แค่รับไว้เงียบๆ ก็พอค่ะ…”
หลินเยวียนพยักหน้า
ก่อนจะจึงกลับขึ้นห้องพัก
เขาอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน
แต่ไม่รู้ทำไม แม้จะเอนกายลงบนเตียงแล้ว ก็ยังนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ
อาการนอนไม่หลับงั้นหรือ?
หลินเยวียนเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ความรู้สึกหงุดหงิดในใจก็ยังไม่หายไป ทำให้เขาอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหว
…
เช้ารุ่งขึ้น
เวลาห้าโมงเย็น
หลินเยวียนเดินทางมาถึงสถานที่จัดงาน
สถานที่จัดงานอยู่เชิงเขาหลูซาน
พื้นที่โล่งขนาดใหญ่ที่เดิมทีว่างเปล่า
ตอนนี้ถูกสร้างเป็นสิ่งปลูกสร้างสิบหลัง เรียงล้อมกันเป็นวงกลม
สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีลักษณะคล้ายศาลาสำหรับพักผ่อน แต่มีขนาดใหญ่กว่า ภายในศาลาแต่ละหลังมีโต๊ะเก้าอี้ครบครัน ทั้งยังมีชาและขนมวางให้บริการ
ที่นั่งของกรรมการถูกจัดวางอยู่ตรงจุดศูนย์กลางที่ล้อมรอบด้วยศาลาทั้งสิบ
หน้าแต่ละที่นั่ง มีป้ายชื่อของกรรมการวางอยู่
ป้ายชื่อของหลินเยวียนอยู่ที่ตำแหน่งขวาสุด
บริเวณทางเข้าเวทีแข่งขัน
มีการแขวนแบนเนอร์ผืนใหญ่
บนแบนเนอร์เขียนไว้ว่า ‘งานประชันกวีนิพนธ์บลูสตาร์ ครั้งที่หนึ่ง’
การแข่งขันจะเริ่มเวลาหกโมงเย็น ทว่ากวีจากแต่ละทวีปก็มาถึงตั้งแต่ห้าโมงเย็น และทยอยเลือกศาลาเพื่อประจำตำแหน่งของตน
หลินเยวียนกับกรรมการอีกแปดคน ก็ได้นั่งลงในที่นั่งของตนเองเช่นกัน
บรรยากาศในงานค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ
กลุ่มกวีต่างพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บางสายตาก็มองผ่านศาลาไปยังที่นั่งของกรรมการ และในที่สุด ก็จ้องมายังใบหน้าของหลินเยวียน
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอน 837-839 ไม่มีข้อความเลยครับ...