หนี้รักประธานเจ้าเล่ห์ นิยาย บท 369

ตอนที่ 369 สิบนาทีก็พอแล้ว

เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราวๆ 7-8 ขวบ หลบอยู่หลังต้นไม้ แอบมองวรินทรนั่งอยู่บนชิงช้ากับแม่ของเขา

ถึงแม้ว่าตอนนั้นเฟิร์นจะยังเด็ก แต่จากตัวเขาสามารถมองออกได้ว่า ลมหายใจอุ่นที่หายใจออกมาถี่ๆนั้นการกระทำที่รุนแรงแฝงความอ่อนโยนบนตัวเขานั้น แทรกซึมเข้ามาในตัว และหลอมรวมกันอย่างไม่รู้สาเหตุ

เพียงครั้งเดียว ทาวัตก็ไม่เคยลืม

แต่หลังจากนั้น ทาวัตก็ไม่เคยเจอเฟิร์นอีกเลย แต่ว่าหลังจากนั้น กำลังทำอะไรกัน?

ดูแลทมยันตีเหรอ?

เขารู้จักการดูแลด้วยเหรอ? เด็กขนาดนั้น?

แต่หลังจากมาเห็นข้อมูลในคอมของพ่อทิโนทัย ทาวัตก็ถ่ายเอกสารเก็บไว้หนึ่งชุดด้วยความหน้ามืดตามัว ในนั้นเป็นข้อมูลของเฟิร์น และที่มั่นใจได้ก็คือ พ่อทิโนทัยก็เคยเจอเฟิร์น

“ชยุตเป็นเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทสันติ เรื่องนี้พวกเธอรู้ไหม?”ทาวัตเม้มปากบาง แล้วพูดขึ้นท่ามกลางความสงสัยของพวกเขา

กวินส่ายหัว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฟิร์นยังไง?

“ฉันรู้สึกได้ว่า พวกเราอาจจะเป็นคนๆเดียวกัน” ทาวัตเงยหน้าขึ้นมา “ขอต้อนรับเอฟและเอ” เขาพูดคำที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงออกมา

ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ แต่เอและเอฟรู้สึกว่ามันเว่อร์เกิน ก็ถูกแล้ว แต่เมื่อคำนี้พูดออกมาจากปากเขา กลับน่าเชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก

แต่บริษัทสันติไม่ใช่เป็นทรัพย์สมบัติที่แท้จริงของตระกูลศรีภักดี เฟิร์นไม่ได้ชอบการทำธุรกิจ เขาคลั่งไคล้ในการแพทย์มากกว่า

คนที่ชอบการแพทย์มากขนาดนี้ จะไปทำธุรกิจได้ยังไงกัน?

“ตอนที่ตระกูลศรีภักดีล้มละลาย ท่ามกลางพวกเรา มีผู้ใหญ่เพียงแค่สี่คน พวกเราหกคนเป็นเพียงผู้สืบทอด ที่ผ่านการคัดมาจากพันกว่าคน คัดสรรผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุด” หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง เฟิร์นก็พูดขึ้นมา

เธอมองที่เขาทีหนึ่ง แต่ไม่ได้ห้ามอะไร

กวินรับรู้บาดแผลในหัวใจพวกเขาตอนนั้นดี จึงไม่เคยได้ถามไถ่ เมื่อเฟิร์นพูดขึ้นมา จึงเป็นที่จับจ้อง

“จุดเด่นที่มากที่สุดของพวกเราตอนนั้นคือ อายุน้อยตอนทำหน้าที่ไม่มีใครสงสัย แต่ก็ยังถูกจำกัดในหลายๆด้าน”

“หัวหน้าตระกูลศรีภักดีส่งให้เฟิร์นไปดูแลคุณหนูก็เพราะว่า เขาเป็นหมอที่มีความสามารถและพรสวรรค์มากที่สุด ท่ามกลางพวกเราทั้งหกคน เขาทีฝีมือการแพทย์โดดเด่นที่สุด”

เสียงของเอฟแฝงความเศร้า

“ความรักที่เฟิร์นมีต่อการแพทย์นั้น มากกว่าที่ทุกคนคิด เขาสามารถอดข้าวอดอาหารเพื่อใช้เวลาไปวิจัยโรค มีความรับผิดชอบสูงมาก นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าตระกูลวางใจที่จะฝากคุณหนูไว้ในมือเด็กเจ็ดขวบ”

พวกเขาตอนแรก ไม่ว่าจะใคร อายุไม่ได้น้อยมาก แต่ทั้งหมดกลับดูถูกพวกเขาที่อายุยังน้อย ก็หายจากโลกนี้ไปหมดแล้ว

พวกเขาต่างคิดว่าเฟิร์นตายไปแล้ว เหมือนกับคุณหนูแสนลึกลับคนนั้น

แต่ว่ายังไงก็คิดไม่ออก ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้เพียงลมหายใจ ใช้ชีวิตอย่างสบายๆในที่ที่พวกเขานึกไม่ถึง

แล้วยัง หักหลังพวกเขาอีก

“คุณเอฟอยากพูดอะไร?” ทาวัตดูออกว่าเอฟมีอะไรจะพูด จึงถามแทรกขึ้นมา

เอฟเม้มปาก มองไปที่กวิน แล้วพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้ที่เฟิร์นจะเป็นชนุตร์”

บนตัวชนุตร์ มองออกว่าเป็นเฟิร์น

“ดูเหมือนคณลืมไปแล้ว ว่าตอนที่พวกเธอแยกกันยังเด็กอยู่ คนเรามันเปลี่ยนกันได้ เธอจะรู้ได้ยังไงว่าจะเป็นเหมือนตอนเด็กๆ?” ทาวัตมองไปที่เขาด้วยความนิ่งเฉย แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ

กวินพยักหน้า เฟิร์นหักหลังพวกเขา เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง แล้วจะเป็นไปได้ยังไง?

ในเมื่อเช่นนี้ ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมชนุตร์ถึงลักพาตัวแม่ของเขา

“อีฟ ที่เขาพูดก็ถูก ว่าคนเรามันเปลี่ยนกันได้” เอหันมามองเอฟด้วนสีหน้าไม่ดี แล้วพูดขึ้นมา

ตอนเด็กๆ อีฟกับเฟิร์นค่อนข้างสนิทกัน ก็คงจะพูดช่วย เป็นเรื่องธรรมดา

แค่นี้ก็รับไม่ได้?

ทาวัตกระตุกมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา ราวกับเขาเจอเรื่องสนุกๆแล้วสิ

แค่หนึ่งคนแยกเป็นสองก็น่าตกใจมากแล้ว แล้วถ้าหาก…

ณ ตอนนี้ หัวหน้าหมู่ที่เขาเคยไปฝึกด้วน เดินเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าทาวัต มีไอสังหารออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน จนทำให้คนอื่นกลัว “รายการนายท่าน คนนั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้สามารถพูดคุยได้แล้ว”

ทาวัตยิ้มขึ้น ถือปากกาไฟฟ้าในมือแล้วยืนขึ้นมา สายตาที่เย็นชานั้นดึงดูดให้ผู้คนมองเขา “พาฉันไป”

“ครับ!” หัวหน้าหมู่รีบตอบตกลง

กวินก็ยิ้มขึ้น ราวกับทั้งตื่นเต้น และรอคอย

แม่ของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ มีแต่คนๆนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่จะรู้ได้

ในพื้นสวนของบ้านธัมรุจินันท์ เป็นพื้นที่แฉะและชื้นไม่เหมือนกับที่คนอื่นคิดเอาไว้ แต่ที่นี่กว้างและสงบกว่าที่คิด

ในนั้นมีหลายห้อง แต่ละห้องมีประโยชน์ต่างกันออกไป หนึ่งในนั้น มีห้องที่ขังชายชุดดำที่ช่วยเอาไว้ได้

คนชุดดำนั้นตื่นขึ้นมาแล้ว แผลบนตัวทำความสะอาดเรียบร้อย ลำคอของเขา รวมถึงส่วนต่างๆในร่างกาย กูถูกตรวจอย่างละเอียดมาแล้ว ไม่มีของอันตรายใดๆ

ชีวิตของคนๆนี้สำคัญมากในตอนนี้ ถ้าหากไม่ระวัง หากทาวัตโมโห ผู้ฝึกทั้งค่ายก็คงรับมือไม่ไหว

“นายท่าน คนนี้ไม่เคยฝึกพิเศษในค่าย คงจะอยากระเบิดเรือทิ้งทั้งลำตั้งแต่แรก ถึงส่งลูกกระจ๊อกพวกนี้ออกมา” หัวหน้าหมู่รายงาน พลางมองไปยังชายผู้นั้นที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัด ตอนนี้ถูกย้ายมาในบนเตียงในห้องนี้แล้ว

“พวกเขาเป็นคนระเบิดเรือ?” ทาวัตเลิกคิ้ว แล้วเดินไปที่ชายคนนั้น

ตาดำขลับนั้นจ้องที่เขาอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว อ่อนแอราวกับไม่ใช่ทหารเมื่ออยู่ต่อหน้าทาวัต

เป็นเพียงคนที่เคยผ่านการฝึกเพียงแบบธรรมดาจริงๆด้วย

จึงถูกองค์กรของเขาทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

หากเป็นนักฆ่าที่มีประสบการณ์นั้น เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คงจะฆ่าตัวตายในทันที ยอมตายดีกว่าตกอยู่ในมือศัตรู

“ตอนนี้เขาพูดได้ไหม?” ทาวัตหันขึ้นไปถาม

กวินยืนอยู่อีกมุมด้วยความประหม่า เขารู้สึกเพียงว่า ในชีวิตไม่เคยรู้สึกประหม่าหรือกลัวขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากคำที่ออกมาจากปากชายผู้นี้ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการจะฟัง เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง

หัวหน้าหมู่พยักหน้า “ได้สิ เพียงแค่เพิ่งฟื้นขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแอ อาจจะทนได้เพียงสิบนาที”

ทาวัตพยักหน้าอย่างพอใจ สิบนาที เพียงพอแล้ว

“ฉันถามหน่อย พวกแกได้ลักพาตัวผู้หญิงคนหนึ่งไปไหม” ทาวัตก้มหน้า สายตามองตรงไปที่ชายคนนั้น แล้วถามเสียงเรียบ

สายตาของเขาขมขู่ ราวกับมองทะลุไปที่ก้นบึ้งของจิตใจ ชายผู้นั้นมีแผลเต็มไปทั้งตัว ร่างการสั่นเทาเบาๆ สัมผัสได้ว่าเจ็บอย่างสาหัส

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนี้รักประธานเจ้าเล่ห์