หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ นิยาย บท 70

บทที่ 70 แม้ตายก็ขอเป็นน้องของพี่ตลอดไป !

“เจ้า !”

ชางจงจ้องเขม็งมาที่เยี่ยฉวน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธสุดขีด

ถ้าเยี่ยฉวนไม่ได้อยู่บนค่ายกลมารเก้าชั้น เขาคงจัดการมันไปแล้ว ตามกฎของสถานศึกษาฉางมู่ ใครก็ตามโดยเฉพาะคนในสถานศึกษา ห้ามเข้าไปรบกวนคนที่อยู่บนค่ายกลมารเก้าชั้น เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าการทดสอบพิเศษนี้คือเจตนาของผู้ก่อตั้งสถานศึกษาที่ได้สร้างค่ายกลไว้เผื่อกรณีคณาจารย์และผู้อาวุโสเกิดปัญหาการแบ่งพรรคแบ่งพวก และเพื่อให้วางใจว่าจะไม่นำไปสู่การที่ฉางมู่ขาดแคลนอัจฉริยะและยอดคน !

ดังนั้นต่อให้เฒ่าชางจงโกรธจนแทบระเบิดเขาก็ไม่กล้าลงมือ !

เยี่ยฉวนหันมามองทุกคน ไม่สนใจเฒ่าชางจงอีกต่อไป และเมื่อกลับมามองรอบตัวอีกครั้ง ชายหนุ่ม กลับพบว่าหุ่นไม้หยุดนิ่งไม่เคลื่อนที่อีก จึงหันไปถาม “เวลานี้ยอมรับข้าแล้วใช่หรือไม่ ?”

“ยอมรับหรือ ?”

ชางจงที่เดินไปมารอบแท่นค่ายกลมารเก้าชั้น เมื่อได้ยินคำนั้นเข้าถึงกับคำรามลั่น “เจ้าใช้กลโกง ทำลายพลังกระบี่ของหุ่นไม้ คิดถามหาการยอมรับ ? เจ้า…”

เยี่ยฉวนมองหน้าเฒ่าชางจงอย่างเหี้ยมเกรียม ตั้งคำถามสวนขึ้นมาโดยไม่รอฟังทั้งหมด “กลโกง ? เจ้ามีหลักฐานอะไร ?”

ชางจงเดือดดาล “หลักฐาน ? ขั้นพลังหกผสมลมปราณของเจ้า จะสามารถทำลายเซียนกระบี่ไม้ โดยรวดเร็วได้อย่างไร ? เช่นนี้ยังจะบอกว่าไม่ใช่กลโกงได้หรือ ?”

เยี่ยฉวนกวาดตามองคนรอบด้าน พลางกล่าวเสียงแหบแห้ง “ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมผ่านมาหลายปีจึง ไม่มียอดฝีมือฝ่าค่ายกลได้สำเร็จสักคนเดียว เพราะเมื่อใดที่มียอดฝีมือสามารถฝ่าค่ายกลได้ คนผู้นั้นจะถูก กล่าวหาว่าใช้กลโกง หึ หึ ข้าตาสว่างแล้วจริง ๆ!”

พลันคนรอบด้านส่งเสียงวิจารณ์กันเซ็งแซ่

ขณะนั้นศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่เดินตรงเข้ามาหา เขาใช้สายตาประเมินเยี่ยฉวนครู่หนึ่ง “เพียงพลังขั้นหกผสมลมปราณของเจ้า ไฉนความสามารถเท่านี้ถึงขั้นทำลายค่ายกลมารเก้าชั้นได้ ?”

เยี่ยฉวนหันมาทางศิษย์ผู้นั้น “แต่ข้าก็ทำลายค่ายกลได้สำเร็จ”

ศิษย์คนนั้นส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือ “ข้าว่าต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ดังเช่นผู้เฒ่ากล่าวไว้ว่าเจ้าใช้กลอุบายแน่”

เมื่อได้ยินดังนั้น บรรดาศิษย์ทั้งหลายของสถานศึกษาฉางมู่ พากันพยักพเยิดให้กันอย่างเห็นดีเห็นงาม

ย่อมเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่บรรดาคนเหล่านั้นไม่มีใครเชื่อว่าวันหนึ่งใครจะสามารถทำลายค่ายกลมาร เก้าชั้นได้อย่างง่ายดาย ด้วยนับตั้งแต่เข้ามาเป็นศิษย์ที่ฉางมู่ ค่ายกลมารเก้าชั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการ ของทุกคน !

ยอดคนผู้นำหลายคนในสถานศึกษาต่างล้มเหลวในการทำลายค่ายกลมารเก้าชั้นกันมาแล้วทั้งสิ้น บุรุษผู้นี้เป็นใครจึงสามารถทำลายได้สำเร็จ ?

คนผู้นี้ต้องใช้กลอุบาย !

เกือบทุกคนจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าเยี่ยฉวนใช้อุบาย !

เยี่ยฉวนหันมองหุ่นไม้รอบตัวอีกครั้ง เขานิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนพลันมีคำถามผุดขึ้นภายในใจ “ผู้อาวุโส หรือจะมีกลอุบายจริงอย่างที่เขาว่า ?”

“นี่เจ้าจะบ้าหรือ ?”

เสียงของสตรีปริศนาอธิบายอย่างรวดเร็ว “แม้ว่าเจ้ายังไม่เข้าใจลึกซึ้งในเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ แต่การได้ครอบครองกระบี่ใจกระจ่างและกายากระบี่ไร้เทียมทานแห่งเซียนกระบี่ อีกทั้งยังได้ทำให้กระบี่รวมเป็นหนึ่ง เดียวในกายเจ้า

แม้นี่ไม่ใช่ความสำเร็จทั้งหมดแต่นับว่าเป็นความสำเร็จบางส่วน ทว่าหุ่นไม้เสมือนผู้คุ้มกันพวกนี้เป็น เพียงเซียนกระบี่ปลายแถว ที่เสริมความแข็งแกร่งเมื่อผนึกเข้ากับค่ายกล ถ้าเทียบกันแล้ว เจ้านับว่าเป็นเซียน กระบี่ยอดฝีมือโดยแท้จริง หรือเทียบได้ว่าเป็นปรมาจารย์กระบี่

และด้วยเหตุนี้ เจ้าที่มีกายากระบี่ไร้เทียมทานจึงสามารถผนึกกระบี่ทั้งหมดไว้ในกาย หากมิใช่เพราะ กระบี่เซียนเหล่านี้ หาไม่แล้วเจ้าจะต้องใช้ความพยายามในการจัดการพวกมัน !! อาจกล่าวได้ว่านับตั้งแต่ที่ พวกมันถูกสร้างให้เป็นเซียนกระบี่ปลายแถว ตัวเจ้าก็เปรียบเสมือนศัตรูที่ตามจองล้างพวกมันอย่างไรเล่า !”

สิ้นเสียงอธิบาย เยี่ยฉวนที่ได้แต่ยิ้มเศร้าเพราะคอยเฝ้าถามจากเหตุที่ได้ชัยมาง่ายดายเกินไป มาตอนนี้ด้วยคำพูดของนาง มันก็ทำให้เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว

เพียงเท่านั้นขณะกำลังคิดพูดกับเฒ่าชางจงแต่ยังมิทันเอ่ยคำ บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันปรากฏกาย อย่างรวดเร็วกึ่งกลางลาน ทำให้บรรดาศิษย์ของสถานศึกษาฉางมู่ค้อมตัวลงต่ำแสดงคารวะทันที “คารวะท่าน รองอาจารย์ใหญ่หลีซิ่ว !”

แม้แต่ชางจงยังกุลีกุจอแสดงความเคารพโดยไม่รอช้า

ท่านรองอาจารย์ใหญ่

สถานศึกษาแห่งเทือกเขาฉางซาน มีรองอาจารย์ใหญ่ 3 คนที่ล้วนมีพลังกล้าแกร่งโดยแท้จริง !

หลีซิ่ว !

เยี่ยฉวนมองบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก่อนพลันเสียวสันหลังวาบ !

ยากหยั่งถึง !

บุรุษที่อยู่เบื้องหน้าหากเทียบความกล้าแกร่งของพลัง เกือบไม่ต่างกับจ้าวหอชั้นเก้าที่เจอ ณ เรือเหาะ

ไม่ซิ… อาจด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น !

ผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง !

แท้จริงแล้วชายหนุ่มตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำลายค่ายกลมารเก้าชั้น เพื่อให้ผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงของสถาน ศึกษาฉางมู่ปรากฏตัวออกมา

หลีซิ่วมองที่ชางจงพลันเอ่ยกับเขา “หน้าที่คือหน้าที่ และส่วนตัวก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว เวลานี้เจ้าใช้ อำนาจในเรื่องส่วนตัวจึงถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควร ข้าขอปลดเจ้าออกจากตำแหน่งผู้พิจารณาคัดเลือกศิษย์ ใหม่นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และให้ย้ายไปทำหน้าที่แผนกขนส่งที่เทือกเขาด้านหลังสถานศึกษาแทน !”

เมื่อได้ยินคำสั่ง ชางจงถึงกับหน้าถอดสี ชายชรารีบค้อมตัวลงแสดงคารวะพร้อมละล่ำละลักแก้ตัว “ท่านรองอาจารย์ใหญ่ขอรับ ชายผู้นี้หาได้สำเร็จขั้นพลังหลอมรวมลมปราณไม่ ข้าจึงพยายามยับยั้งมันดังนั้น ข้าไม่ผิดนะขอรับ ข้า…”

แต่หลีซิ่วหาได้ใส่ใจและตัดบทว่า “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยมีความขัดข้องหมองใจอะไรต่อกัน แต่การคัด เลือกศิษย์นั้นหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของสถานศึกษาฉางมู่ต่อไปในภายหน้า เจ้ากลับนำสองสิ่งนี้มาพัวพันยุ่งเหยิงกันได้อย่างไร ? ไม่ต้องพูดมาก !”

สีหน้าของเฒ่าชางจงยามนี้บิดเบี้ยวน่ากลัว หากแต่ชายชราไม่กล้าโต้แย้งออกไป เพียงแต่ขยับกายไปทางด้านข้างและจ้องเขม็งมาที่เยี่ยฉวน

รองอาจารย์ใหญ่หันมาทางชายหนุ่ม เยี่ยฉวนจึงพลันได้สติก่อนจะค้อมตัวลงแสดงคารวะ “คารวะท่านรองอาจารย์ใหญ่ขอรับ !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์