“ไม่มีชื่อเหรอ”
“เอ่อ…”
หวังเผิงหันไปมองเซวียเจ๋อปิน แล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มเหมือนพนักงานเสิร์ฟแต่ไม่ได้พูดอะไร
เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนดูถูก คนพวกนี้กำลังทำเหมือนว่าเขาเป็นบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุง ไม่ประสีประสาอะไร
“ไม่ได้สิ ถ้าไม่มีชื่อจะจดทะเบียนร้านได้ยังไง คุณตั้งใจจะปิดบังชื่อร้านไม่ให้ลูกค้ารู้เพราะเป็นกลยุทธ์อะไรสักอย่างรึเปล่า”
หวังเผิงรู้สึกขับข้องใจมาก
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งฉวนหมินรีวิว เขาเคยไปภัตตาคารมาหลายแห่ง เห็นอะไรแปลกๆ มาก็เยอะ
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจออะไรแปลกพิกลขนาดนี้
ปกติแล้วแม้แต่ครัวส่วนตัวเล็กๆ ก็ยังมีชื่อร้าน บางร้านเอาเลขที่บ้านมาตั้งเป็นชื่อ อย่าง ‘ครัวเลข 45’ หรือ ‘ภัตตาคารหมายเลข 78’
ถึงทางร้านจะพยายามทำตัวไม่โดดเด่นยังไง อย่างน้อยก็ต้องมีชื่อ ไม่อย่างนั้นลูกค้าก็จะไม่รู้ว่าต้องบอกคนอื่นยังไงว่าไปกินร้านไหนมา มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาโดยใช่เหตุ
นอกจากนั้นแล้วการไม่มีชื่อร้านจะกีดกันไม่ให้ร้านมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก เว้นเสียแต่ว่าเจ้าของร้านไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงและมั่นใจในร้านของตัวเองมากถึงได้ทำแบบนี้
เซวียเจ๋อปินเห็นแววตางุนงงของหวังเผิงก็รู้สึกเบิกบานใจ เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย
“เลิกคิดมากแล้วกินสักที เดี๋ยวอาหารเย็นหมด” เซวียเจ๋อปินเร่ง
หวังเผิงพยักหน้า เขาเก็บคำถามต่างๆ ไว้ในใจแล้วหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
พนักงานกำลังจะห้ามหวังเผิง แต่เซวียเจ๋อปินพูดขึ้นก่อน
เขาชี้ไปที่ป้ายบนโต๊ะ “ห้ามถ่ายรูปโว้ย”
หวังเผิง “?”
ร้านก็ไม่ได้ใหญ่ ทำไมกฎเยอะจัง!
หวังเผิงเคยได้ยินเรื่องร้านที่ห้ามถ่ายรูปมาบ้าง แต่ก็มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่อยู่ต่างประเทศ
ถือว่าผิดมนุษย์มนามากที่ร้านในประเทศจะห้ามลูกค้าไม่ให้ถ่ายรูป ตอนนี้การถ่ายรูปแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมก่อนกินอาหารแล้ว ถ้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปแล้วจะเอาไปอวดคนอื่นยังไง
เสียเงินกินอาหารตั้งแพงแต่กลับไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปไปอวดคนอื่น แบบนั้นก็เท่ากับว่าไม่เคยมาที่ร้านนี้เลยสิ
แน่นอนว่ากฎแบบ ‘ห้ามถ่ายรูป’ ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงขนาดนั้น ถ้าลูกค้าดึงดันจะเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป พนักงานก็วิ่งเข้ามาคว้ามือถือลูกค้าไปเขวี้ยงทิ้งไม่ได้
พวกเขาทำได้แค่เตือนอย่างสุภาพ ถ้าลูกค้าดื้อดึงก็ทำอะไรไม่ได้
แต่การที่มีพนักงานคอยเดินมาย้ำระหว่างดื่มด่ำกับอาหารถือเป็นการทำลายบรรยากาศ พนักงานส่วนใหญ่คงไม่เลือกทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น
อีกอย่างถ้าลูกค้าถ่ายรูปอาหารได้ออกมาดูน่ากินก็จะช่วยเรียกลูกค้ามาให้ร้านเพิ่มได้ เท่ากับเป็นการโฆษณาร้านฟรีๆ ทำไมทางร้านถึงจะไม่อยากให้ทำแบบนั้นด้วย
ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ถือว่าแปลกมากที่ร้านอาหารไม่ยอมให้ลูกค้าถ่ายรูป
หวังเผิงแสนงุนงง “หมายความว่ายังไง อาหารจัดมาสวยงามขนาดนี้แต่ห้ามถ่ายรูปเนี่ยนะ เสียของมากเลย”
เขามองอาหารตรงหน้า ทุกจานจัดวางออกมาได้สวยงามและมีสีสัน หวังเผิงรู้สึกปวดใจมากที่ถ่ายรูปไปอวดคนอื่นไม่ได้
เซวียเจ๋อปินยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ท่าทีงุนงงของหวังเผิงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก เขาตัดสินใจอธิบายแทนพนักงาน
“ร้านนี้พิเศษตรงนี้แหละ
“เจ้าของร้านคิดว่าการถ่ายรูปจะทำให้ลิ้มรสอาหารได้ไม่เต็มที่
“ถ้ามัวคิดหาแสงกับมุมกล้องดีๆ ก็จะไม่ใส่ใจดื่มด่ำกับกลิ่นและรสชาติของอาหารตรงหน้า จนพลาดรายละเอียดหลายๆ อย่างไป
“เก็บมือถือไปจะช่วยให้ใส่ใจกับการสนทนากับเพื่อนๆ และการลิ้มรสอาหารแสนอร่อย ช่วยให้มีเวลาได้ผ่อนคลายจริงๆ
“เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ฉันรู้ว่าแกงานยุ่ง แต่แค่อาหารมื้อเดียวไม่รบกวนเวลางานแกขนาดนั้นหรอก เก็บมือถือลงเถอะ”
หวังเผิงยังรู้สึกเสียดาย แต่เซวียเจ๋อปินก็อธิบายให้ฟังแล้ว ถ้ายังดึงดันจะถ่ายรูปก็คงไม่ดี เขาจึงเก็บมือถือไปแล้วเริ่มจัดการกับอาหารตรงหน้า
สเต็กโทมาฮอว์ก เห็ดมัตสึทาเกะ คาเวียร์…ล้วนไม่ได้ราคาถูกๆ อาหารมื้อนี้ราคากว่าหมื่นหยวน
เซวียเจ๋อปินไม่ได้สั่งอาหารที่แพงที่สุดในเมนู เพราะตั้งใจจะเช็กดูว่าเมนูที่ต้องจองนั้นมีจริงไม่ได้หลอก
หวังเผิงลองชิมอาหารทีละจาน ใส่ใจกับการลิ้มรสชาตินุ่มละมุน
“วัตถุดิบไม่ธรรมดาจริงๆ”
ในฐานะผู้จัดการเว็บไซต์รีวิว หวังเผิงเคยชิมอาหารจานหรูมามากมายเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน
รสชาติอาหารขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ ฝีมือของเชฟ บรรยากาศภายในร้าน และอารมณ์ของผู้กิน ในองค์ประกอบเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือวัตถุดิบที่ใช้
หลังจากลองอาหารทุกจาน หวังเผิงก็บอกได้ว่าวัตถุดิบที่ใช้เป็นของเกรดดี คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปทุกหยวน
แน่นอนว่าวัตถุดิบเหล่านี้ไม่ใช่ที่สุดของที่สุด เพราะวัตถุดิบล้ำค่าต่างสัญชาติมีวางขายแค่ในเมืองต้นกำเนิดเท่านั้น วัตถุดิบล้ำค่าแบบที่ว่ามีจำนวนจำกัด สามารถส่งออกไปพื้นที่ข้างเคียงได้ไม่มาก จึงไม่มีทางที่จะส่งมาที่จีนได้
แต่ก็ชัดเจนว่าภัตตาคารไม่มีชื่อแห่งนี้ใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดที่สามารถหาได้ภายในประเทศจีน
เซวียเจ๋อปินสังเกตสีหน้าหวังเผิง “รสชาติเป็นไง”
ในฐานะทายาทตระกูลร่ำรวย เซวียเจ๋อปินเคยกินอาหารดีๆ มามากมาย จึงสามารถแยกความแตกต่างระหว่างอาหารคุณภาพดีกับอาหารคุณภาพแย่ได้ แต่เขาก็ไม่ใช่มืออาชีพ ฝีมือยังต่างชั้นกับหวังเผิงอยู่มาก
หวังเผิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ไม่เลวเลย คิดว่าดีกว่าร้านที่เราไปกินมารอบที่แล้วอีก


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี