“ท่านแม่ทัพ ฉินเป่ยเป็นหมอจริง ๆ เขาสามารถรักษาท่านได้จริง ๆ เหรอคะ?”
“แล้วก็ เมื่อสักครู่ท่านได้บอกเขาหรือเปล่าว่าท่านคือหงส์ปัณฑูร”
ทันทีที่มาถึงด้านนอกโรงพยาบาลอันหนิงแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะถามเธอ ในระหว่างทางที่มาก่อนหน้านี้อวี่เจียวหรงได้เล่าเรื่องที่ฉินเป่ยเป็นหมอและกำลังทำการรักษาเธอให้อันหนิงฟัง
“ฉันเชื่อว่าฉินเป่ยจะรักษาอาการบาดเจ็บของฉันได้ แต่ฉันหวังว่ามันจะไม่เร็วขนาดนั้น เมื่อกี้ฉันอยากจะบอกฐานะที่แท้จริงของตัวเองกับเขา แต่เธอไม่เห็นเหรอ ว่าตอนที่เราสองคนยอมรับว่าเป็นทหารในกรมการทหาร สีหน้าของเขานิ่งสงบเกินไป”
เมื่ออวี่เจียวหรงพูด อันหนิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ
อวี่เจียวหรงพูดต่อ “ฉินเป่ยลึกลับยิ่งกว่าที่ฉันกับเธอคิดเอาไว้ ศิษย์ของผู้มีพระคุณไม่ใช่คนไร้ความสามารถหรอก เพราะงั้นเธอจำคำที่ฉันพูดตอนอยู่ในห้องผู้ป่วยเอาไว้นะ แล้วก็อย่าไปลองสืบค้นเขาล่ะ!”
“ค่ะ!”
อันหนิงตอบรับไปพร้อมกับเปิดประตูรถให้อวี่เจียวหรง
อวี่เจียวหรงเพิ่งขึ้นมาบนรถเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อมองเห็นเบอร์โทรศัพท์เธอก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะส่งสัญญาณให้อันหนิงออกรถ รอจนรถเริ่มออกตัวแล้วเธอถึงได้กดรับสาย
……
ตอนนี้ ฉินเป่ยจัดการขอออกจากโรงพยาบาลเพื่อทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย
หลังจากนั้นสองชั่วโมงเขาก็แบกแม่กลับมายังบ้านที่เขตชานเมือง เพิ่งจะเดินเข้ามาในรั้วบ้าน เขาก็เห็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่บริเวณสวน
“พ่อ พ่อก็กลับมาด้วยเหรอครับ?”
พ่อของฉินเป่ยชื่อว่าฉินฮั่น ในความทรงจำของฉินเป่ย พ่อของเขาไม่กลับบ้านมาหลายปี ถ้าจำไม่ผิด พ่อของเขาไม่ได้กลับบ้านมาเกือบแปดปีแล้ว
พ่อเป็นคนพูดน้อยมาตลอด สำหรับฉินเป่ยแล้วเขารู้สึกไม่สนิทใจกับพ่อเท่าไร ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรอยู่ข้างนอก และเขากับแม่ก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม
“อือ กลับมาแล้ว แม่เป็นยังไงบ้าง?”
ฉินฮั่นดับบุหรี่ให้มอดก่อนจะลุกขึ้นไปอุ้มตู้เหม่ยจวนลงจากหลังฉินเป่ยกลับเข้าไปในห้องนอน
“ไม่เป็นอะไรมากครับ คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะฟื้น พักผ่อนอีกสักสองสามวันก็น่าจะรักษาหายดี”
“พ่อ ครั้งนี้พ่อจะกลับมานานเท่าไรครับ?”
“ไม่ออกไปแล้วล่ะ!”
“หลายปีมานี้แม่แกกับแกอยู่กันอย่างยากลำบากสินะ?”
ฉินฮั่นวางตู้เหม่ยจวนลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าห่มให้เธอ จากนั้นก็ดึงฉินเป่ยออกมาม
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่ว่าลำบากแม่ พ่อครับ ในเมื่อพ่อจะกลับมาแล้วไม่ออกไปแล้ว ผมอยากจะเปิดคลินิกในเมืองสักคลินิก ผมเรียนหมอมา ทักษะทางการแพทย์ของผมก็ไม่เลว เพราะงั้นพ่อช่วยสนับสนุนผมด้วยนะครับ!”
ที่จริงฉินเป่ยไม่ต้องทำงาน เงินของเขาก็ยังสามารถเลี้ยงดูแม่กับตัวเองไปได้อีกหลายชาติก็ยังไม่หมด
เพราะก่อนที่อาจารย์จะจากไปก็ได้เปิดบัตรธนาคารใบหนึ่งไว้ให้กับเขา เงินเก็บในบัตรนั่นเป็นตัวเลขมากมายราวกับอักขระฟ้า
แต่เขาก็เป็นหมอคนหนึ่ง อีกทั้งยังชอบจะรักษาผู้คน ที่สำคัญกว่านั้นเขามีคู่หมั้นเป็นอวี่เจียวหรง และได้รู้แล้วว่าเธอเป็นทหารในกรมการทหาร!
ในสถานการณ์ที่ฐานะการเป็นเทพสงครามซิวหลัวของเขายังไม่ถูกเปิดเผย เขาจำเป็นต้องมีอาชีพเป็นหลักแหล่ง การเปิดคลินิกก็เป็นอะไรที่เหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว
ฉินฮั่นไม่ได้พูดอะไร แต่หยิบบุหรี่หงถาซานออกมายื่นให้ฉินเป่ย ถึงได้เอ่ยปากต่อ “ลูกจะทำอะไรพ่อก็สนับสนุนลูกหมดนั่นล่ะ ต้องการเงินหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมยังมีเงินอยู่บ้าง!”
“ถ้างั้นพ่อครับ พ่ออยู่บ้านดูแลแม่ ผมจะออกไปดูหน้าร้านสักหน่อย แล้วก็จะหาซื้อบ้านไปด้วยเลย”
“ได้”
ฉินฮั่นตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะนั่งลงสูบบุหรี่ ส่วนฉินเป่ยก็ออกจากบ้านกลับเข้าไปในเมือง
ณ โรงพยาบาล
“มันกล้าจริง ๆ ที่มาหักขาลูกผม!”
“หยางลี่ ตกลงฉินเป่ยมันเป็นใครกันแน่?”
“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ คุณรีบบอกผมมาทั้งหมดเลยนะ!”
ภายในห้องผู้ป่วย โจวเทียนเป่ยพ่อของโจวห้าวกำลังโมโหโกธาอยู่ บนเตียงมีโจวห้าวที่หมดสติโคม่าอยู่ แพทย์ที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลได้มาดูอาการบาดเจ็บของเขาแล้ว ได้ยินมาว่าต่อไปเขาจะทำได้แค่นั่งรถเข็น!
โจวห้าวเป็นลูกชายคนเดียวของเขา แล้วต่อไปก็ต้องรับตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูล ถ้าต่อไปเขาทำได้แค่นั่งรถเข็น แล้วจะมาสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ยังไง?!
หยางลี่ถูกทำเอาตกใจกลัวไปแล้ว เธอในตอนนี้หน้าบวมแดง สายตาอันน่ากลัวของฉินเป่ยยังคงปรากฏอยู่ในสมองของเธอไม่ลบเลือน!
แต่ตอนนี้ได้ตระกูลโจวคอยให้ท้าย ความรู้สึกดูถูกฉินเป่ยของเธอก็ฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิม ก่อนจะพูดว่า “ลุงโจว ไอ้ฉินเป่ยนั่นเป็นคนจนไร้ความสามารถคะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คุณภรรยาเทพนักรบของผม
ต้องการอ่านต่อต้องทำยังไงคะ...
อยากอ่านต่อต้องทำยังไงคะ...
ไม่ไปต่อแล้วเหรอครับ...
บทที่ 11-14 หายไปไหนเหรอครับ...