คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 12

สรุปบท บทที่12 เติบโตเป็นสาวงาม: คู่แฝดคู่ป่วน

บทที่12 เติบโตเป็นสาวงาม – ตอนที่ต้องอ่านของ คู่แฝดคู่ป่วน

ตอนนี้ของ คู่แฝดคู่ป่วน โดย ไป๋หลัน ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่12 เติบโตเป็นสาวงาม จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บนเรือนใหญ่ตระกูลซู

“ท่านแม่ชุดนี้งามหรือไม่เจ้าค่ะ” ซูเจียวเหมยเอ่ยถามมารดาเพราะนางเพิ่งได้ชุดนี้มาใหม่

“ลูกสาวแม่งดงามที่สุดอยู่แล้วสวมใส่ชุดใดก็ย่อมงามทั้งนั้น” ซูเจียวซื่อเอ่ยชมบุตรสาวที่ตอนนี้เติบโตเป็นสาวงามหาผู้ใดมาเปรียบ

“สวยงามอันใดสองสามวันก่อนลูกได้ยินพวกบ่าวคุยกันว่านางจิวอิงที่อยู่เรือนท้ายจวนหน้าตางดงามนัก” ซูเจียวเหมยเอ่ยบ่าวคนสนิทของนางได้ยินจึงนำความมาบอก ตนเองนั้นไม่เคยย่างกายเข้าไปใกล้เรือนท้ายจวนเลยด้วยเพราะห่างไกลจากเรือนใหญ่พอควรและนางก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะต้องสนใจคนพวกนั้น แค่ท่านแม่ลงโทษไม่ส่งอาหารให้พวกมันได้กินแค่นั้นก็นับว่าพวกมันคงอยู่กันอย่างแล้งแค้นน่าดูทีเดียว

“ลูกจะไปฟังความอะไรกับพวกบ่าวไพร่กันพวกมันคงโป้ปดเกินความจริงไปมากโข”

“ลูกต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองเจ้าค่ะ”

“ตามใจเจ้าแล้วกันอยากทำอะไรกับมันก็เชิญ ท่านปู่ก็มิได้เห็นมันเป็นหลานอยู่แล้วแถมยังไม่ยอมให้มันใช้สกุลซูอีกต่างหากและช่วงนี้ท่านพ่อของเจ้าก็ไปประจำการอยู่ต่างเมืองคงอีกหลายเดือนกว่าจะกลับมา” ซูเจียวซื่อเองก็ซะใจยิ่งนักที่น้องสาวของสามีระเห็จออกไปจากจวนไปได้ นางเป็นที่รักของพี่ชายยิ่งนักเขารักน้องสาวมากว่านางที่เป็นภรรยาเสียอีก เอาอกเอาใจนางสารพัดจนนางอดหมั่นไส้เสียไม่ได้

“จูเพ่ยเจ้าไปกับข้า” ซูเจียวเหมยเอ่ยบอกสาวใช้ข้างกาย

“เจ้าค่ะคุณหนู” จูเพ่ยรับคำแล้วรีบเดินตามร่างบางระหงออกไปยังเรือนท้ายจวนทันที

จิวอิงที่วันนี้อากาศดีเพราะเมื่อคืนมีฝนโปรยลงมาวันนี้นางจึงออกมาดูแลแปรงผักและสวนดอกเหมยกุ้ยที่ปลูกเอาไว้ท้ายเรือนตอนนี้มันเริ่มออกดอกสาวสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วนางจะเก็บมันไปทำถุงหอมให้พี่เสี่ยวชิงและตนเองด้วย

ร่างบางที่ดูผ่ายผอมกว่าปกติเพราะทำงานทุกอย่างในเรือนและอาหารการกินพวกนางก็มักจะกินกันอย่างประหยัดไม่ได้กินจุกจิกหรือต้องมีขนมยามว่างอย่างผู้อื่น แต่ใบหน้าของจิวอิงนั้นกลับไม่ได้ด้อยลงไปเลย นางมีใบหน้ารูปไข่ดวงตาลกลมโตพราวระยับรับกันขนตายาวงอน จมูกโด่งเชิดรับกับดวงหน้าปากอิ่มแดงระเรื่อดูเย้ายวนหากผู้ใดได้พบเจอคงต้องหลงใหลได้อย่างไม่ยากเย็น

“มันอยู่นั่นเจ้าคะ”จูเพ่ยเอ่ยบอกเจ้านายของตนอย่างเอาหน้า

“ดี! ข้าอยากดูน้ำหน้ามันนัก” ร่างอรชรของจูเพ่ยเดินปรี่เข้าหาร่างบางที่นั่งถอนหญ้าออกจากแปลงผัก

ร่างอรชรที่สวมใส่อาภรณ์สีสวยงดงามหยุดยืนด้านหลังของคนที่นางยังไม่เห็นหน้าแต่กลับรู้สึกชิงชังยิ่งนัก

“เจ้า!..หันหน้ามาหาข้าสิ” ซูเจียวเหมยเอ่ยเสียงห้วนสั่งให้สตรีร่างผอมบางในอาภรณ์สีหม่นหันมา

จิวอิงที่กำลังเพลิดเพลินกับการถอนหญ้าที่แปลงผัก เมื่อได้ยินเสียงดังถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะร้อยวันพันปีนางไม่ค่อยได้พูดคุยกับผู้ใดเลยและไม่มีผู้ใดย่างกกายเข้ามายังเรือนท้ายจวนแห่งนี้

“เจ้าพูดกับข้าหรือ?” จิวอิงหันหน้ามาพบกับสตรีแต่งกายงดงามยืนอยู่เบื้องหน้านางไม่เคยเห็นนางมาก่อน

“บังอาจเห็นคุณหนูซูเจียวเหมยยังไม่เคารพอีก คุณหนูเป็นถึงบุตรีของท่านแม่ทัพหลวนซานเจ้าของเรือนที่เจ้าอาศัยอยู่นี้” จูเพ่ยเอ่ยเสียงดังเพื่อเอาใจเจ้านายของตน

ซูเจียวเหมยที่ได้เห็นใบหน้าของสตรีที่เพิ่งหันหน้ามาก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที งามนัก! ซูเจียวเหมยอิจฉาใบหน้าที่งดงามกว่าตน นางเกลียด เกลียดสตรีตรงหน้ายิ่งนัก

“คาราวะเจ้าค่ะคุณหนูซูเจียวเหมย” จิวอิงลุกขึ้นยืนแล้วย่อกายเคารพสตรีตรงหน้าเมื่อรู้ว่านางคือผู้ใด

“คุกเข่าลงไป..” ซูเจียวเหมยเอ่ยด้วยใบหน้าเชิดหยิ่ง

“เหตุใดข้าต้องคุกเข่าลงไปด้วย” จิวอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เป็นแค่บ่าวอาศัยอยู่ในเรือนมายืนเทียบเคียงกับผู้เป็นนายได้อย่างไรกัน” ซูเจียวเหมยเอ่ย

“ข้ามิได้เป็นบ่าวไพร่ และไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรือนใหญ่เลยพวกเราต่างคนต่างอยู่เช่นนี้มานานแล้ว” จิวอิงจำคำพูดของพี่เสี่ยวชิงมานางไม่ใช่บ่าวไพร่เสียหน่อย

“มิเกี่ยวข้องเช่นนั้นหรือ ได้ๆเจ้าไม่เกี่ยวข้องแต่ผืนดินที่เจ้าเหยียบย่ำอยู่นั้นมันเป็นของท่านพ่อข้า จูเพ่ยจัดการกับหญ้าพวกนั้นเสียมันรกหูรกตาข้ายิ่งนัก”

“ปู่จะไม่ห้าม แต่เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีๆล่ะ” ฮุ่ยฉินเอ่ย เขารู้ว่าหลานสาวเบื่ออยากออกเที่ยวเล่นตามประสาคนซุกซน นางโตแล้วจึงไม่กังวลเท่าใดนักจะกังวลก็แต่คนที่มายุ่มย่ามกับนางเสียมากกว่า

“ท่านปู่รู้ใจหลานที่ซู๊ด..เลยเจ้าค่ะ หลานไปก่อนนะเจ้าคะแล้วจะซื้อขนมมาฝาก” เย่วซินเอ่ยเอาใจคนสูงวัยแล้วลิงโลดออกจากโรงเตี๊ยมทันที

ร่างบางในอาภรณ์สีฟ้ารวบผมครึ่งศีรษะปักปิ่นเงินเรียบๆไม่มีระย้าย้อยให้รุงรัง ใบหน้างามรูปไข่ดวงตากลมโตพราวระยับรับกับจมูกโด่งเชิดรั้นได้อย่างงดงาม ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อขับให้ใบหน้างามนั้นยิ่งดูงดงามยิ่งขึ้นจนยากถอนสายตา บุรุษทั้งหลายต่างเหลียวมองด้วยความหลงใหล เพราะพวกตนไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามเช่นนี้มาเดินเที่ยวชมตลาดผู้เดียวมาก่อน จะมีก็แต่คุณหนูตระกูลใหญ่ส่วนมากพวกนางจะมีสาวใช้และผู้ติดตามมาด้วยมากมาย

ร่างบางเดินอ้อยอิ่งอย่างมีความสุขชมโน่นนี่นั่นไปเรื่อยโดยมิได้สนใจหรือสังเกตว่ามีผู้คนจับจ้องอยู่มากมาย โดยเฉพาะบุรุษกลุ่มหนึ่งที่เดินตามร่างบางมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ด้วยความงามของสตรีนางนั้นทำให้ตนและสหายอดไม่ได้ที่อยากรู้จักและอยากจะสานสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย สตรีที่เคยผ่านมือมาล้วนหาได้งดงามและเป็นที่ตราตรึงใจถึงเพียงนี้และเมื่อสบโอกาสจึงไม่รอช้าที่จะเอ่ยทักทาย

“แม่นางเจ้าอยากได้ชิ้นใดหรือ ข้ายินดีจ่ายให้” ซูหมิงลู่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสตรีที่หมายปองกำลังเลือกชมเครื่องประดับ

“ท่านพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ?” เย่วซินเอ่ยถามเพราะนางจำได้ว่าไม่เคยพบเจอบุรุษพวกนี้มาก่อน

“ใช่แล้วแม่นางข้าพูดกับเจ้า” ซูหมิงลู่เอ่ยด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มสายตาจับจ้องร่างบางอย่างโลมเลีย “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?”

“ใยข้าต้องตอบด้วยเราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย” เย่วซินเอ่ยอย่างไม่ได้สนใจนัก

“เจ้าบังอาจพูดจาไม่ให้เกียรติคุณชายซูหมิงลู่แห่งจวนแม่ทัพอุดรหรือ?” ผู้ติดตามคนหนี่งเอ่ยขึ้น

“เอาน่าๆ” เฟิ่งอี้เหว่ยสหายของซูหมิงลู่เอ่ยปรามผู้ติดตาม “แม่นางสหายของข้าถูกใจเจ้ายิ่งนักใคร่อยากรู้จักเผื่อผูกสัมพันธ์กันไว้” เฟิ่งอี้เหว่ยวัยยี่สิบปีบุตรชายแม่ทัพประจิมเอ่ยกับร่างบางเป็นมิตร

“ข้าต้องขออภัยแต่ข้าไม่อยากสานสัมพันธ์กับผู้ใดเจ้าค่ะ” เย่วซินเอ่ยพร้อมกับก้าวเท้าเดินออกมาจากตรงนั้นทันที

ซูหมิงลู่รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากด้วยฐานะและรูปร่างหน้าตาของตนไม่เคยมีสตรีนางใดเอ่ยปฏิเสธเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมากรีบสาวเท้าเข้าขวางหน้าพร้อมถือวิสาสะฉุดกระชากแขนเรียวของหญิงสาวแล้วรั้งตัวนางมาไว้ในอ้อมกอดของตัวเองทันที..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน