เข้าสู่ระบบผ่าน

กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 1073

ไม่เหมือนกับการจัดเรียงตัวอักษรคราวก่อน ครั้งนี้จางเฟิงไห่ได้ คําทํานายมาเก้าตัวอักษร ร ้อยเรียงกันเป็ นวงกลมคล้ายกับบทกวี แบบย้อนกลับที่แกะสลักไว้บนกําไลหยก

ตอนนั้นลู่ไถเห็นคําทํานายประโยคนี้ก็แสร ้งทําเป็ นตกตะลึง ร ้อน ใจจนกระทืบเท้า เดินวนไปวนมาเหมือนมดบนกระทะร ้อนอยู่ในห้อง ปากก็พึมพําไม่หยุด บอกว่าหรือจะพูดถึงสหายของข้า เรื่องนี้จะ ให้ป๋ ายอวี้จิงรู ้ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าสํานักจาง ข้าน้อยจะโขกหัวให้ท่าน เดี๋ยวนี้เลย…..

แต่สองฝ่ ายที่อยู่ในห้องต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจว่าคําว่า ‘มรรคา เสื่อมถอยห้าร ้อยปียังได้มีท่านเฉิน” นี้ แท้จริงแล้วพูดถึงโค่วหมิงเจ้า ลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิง

สกุลหลี่บนถนนฝูลู่ของถํ้าสวรรค์หลีจู ต้นข่ายที่ขึ้นอยู่เหนือ หลุมศพ นายหญิงของบ้านลําเอียงรักบุตรชายคนรอง ครั้งหนึ่งที่เป็ น ประเพณีประจําตระกูล นายหญิงได้ยินคําว่า “ท้อธรรมดาหลีสามัญ” ก็ยังไม่โกรธ นางยังมอบเงินมงคลให้ แต่พอนางได้ยินคําว่า “หลี่ตาย แทนท้อ” กลับเดือดดาลขึ้นมา….บุตรชายคนโตหลี่ซีเซิ่ง น้องขาย น้องสาวของเขาต่างก็ซิอหลี่เป่าเงิน หลีเป่าผิง

แคว้นเล็กกันดารห่างไกลแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่ชื่อว่าแคว้น ชิงเฮา ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าถนนต้งเซียนในตัวเมือง หลี่ซีเซิ่ง เคยมาพักอยู่ที่นี่ ถนนสายนี้มีบัณฑิตอยู่คนหนึ่งชื่อว่าเฉินเป่าโจว

หันหน้าไปมองจางเฟิ งไห่ที่ยืนดื่มเหล้าอยู่ ลู่ไถเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าสํานัก ยืนที่ออยู่อย่างนี้ เหมือนต้นไม้หยกรับลมก็จริงอยู่หรอก

เพียงแต่ว่าวางมาดให้ใครดูกันล่ะ” จางเฟิงไห่แสร ้งทําเป็ นไม่ได้ยิน
ลู่ไถจําต้องยอมรับว่า ในบรรดาผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็มี การแบ่งระดับอยู่เหมือนกัน จางเฟิงไห่ถือเป็ นคนมีพรสวรรค์ในระดับ บนสุด ชั่วชีวิตนี้ลู่ไถยังไม่เคยเจอใครที่คุณสมบัติดีเท่าเขามาก่อน

จางเฟิงไห่ถาม “สามร ้อยปีก็ดี ห้าร ้อยปีก็ช่าง สมมติว่าเจ้าลัทธิ ใหญ่ต้องรอนานขนาดนี้กว่าจะออกมาเก็บกวาดแผ่นดิน หรือว่าก่อน หน้าที่จะทําเช่นนี้ก็จะปล่อยให้ใต้หล้าวุ่นวายไป?”

ลู่ไถเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ในที่สุดก็รู ้ถึง ความกระอักกระอ่วนของนักพรตที่ดูดวงแล้วใช่ไหมล่ะ? อ้อมไปอ้อม มา สุดท้ายก็อ้อมไม่พ้นคําว่า “ชะตาฟ้ าลิขิตมาเช่นนี้ ข้าควรจะอยู่ที่ ใด”

จางเฟิงไห่เงียบงัน ลู่ไถลุกขึ้นนั่ง ดื่มเหล้าคําใหญ่แล้วเดาะลิ้นจุ๊ปาก เป็ นสุราดีจริงๆ

หยวนอิ๋งพูดเหมือนจะอยากกิน “ขอข้าดื่มสักคําสิ”

ลู่ไถถลึงตาเอ่ยสั่งสอน “ข้ายังไม่เคยเห็นใครรักคุณธรรมเหมือน ใฝ่หาตัณหาเลยจริงๆ!”

อันที่จริงคุณสมบัติของหยวนอิ๋งก็ดีเหมือนกัน แต่นางขี้เกียจ เกินไป เป็ นสตรี วันๆ เอาแต่คิดถึงเรื่องเข้าห้องหอคํ่าคืนวสันต์มีค่า

เท่าทองพันชั่ง เหมาะสมเสียที่ไหน! หยวนอิ๋งหัวเราะร่า
ลู่ไถพูดชวนคุยว่า “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็มีบุคคลที่ร ้ายกาจอยู่ หลายคนเหมือนกัน เจ้าสํานักจาง พวกเราจะไปพบพวกเขาได้ เมื่อไหร่ล่ะ?”

จางเฟิงไห่กล่าว “ก่อนที่ข้ากับซินขู่จะพัฒนากันไปอีกขั้น เว้น เสียจากว่ามีขอบเขตบินทะยานห้าคนถึงจะกล้าพูดว่าจับมือกันไป เยือนเปลี่ยวร ้างแล้วจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เกิดขึ้น”

ลู่ไถถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับซินขู่ก็พยายามเข้าเถอะ” หยวนอิ๋งหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จางเฟิงไห่รู ้ว่าบุคคล “ร ้ายกาจ” ที่ลู่ไถพูดถึงมีใครบ้าง เฟียหราน โซ่วเฉิน โจวชิงเกา

ต่างก็เป็ นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ทุกวันนี้มีอิทธิพลเป็ นที่เกรงกลัวของ ผู้คนมากที่สุด

ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสองคนที่เพิ่งฝ่ าทะลุขอบเขตกันได้ แค่ไม่กี่วัน เฝ่ ยหรานที่เป็ นผู้ครองเปลี่ยวร ้างมีสถานะสูงที่สุด แต่ไม่ว่า จะบนหรือล่างภูเขากลับเป็ นโซ่วเฉินที่มีบารมีสูงที่สุด

ส่วนโจวชิงเกาที่ชื่อเดิมคือมูจี เหตุผลส่วนใหญ่นั้นเป็ นเพราะเขา คือลูกศิษย์ปิดสํานักของมหาสมุทรความรู ้โจวมี่ บวกกับที่คอยเป็ น แขนซ ้ายขวาอยู่ข้างกายเฝ่ ยหรานไม่ห่างตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงมักจะ ปรากฏตัวบ่อยๆ บนภูเขาของเปลี่ยวร ้างจึงคุ้นเคยกับเขาดี

ในความเป็ นจริงแล้วนี่ยังคงดูแคลนโชคชะตาของโจวชิงเกา เกินไป

สําหรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่โจวมี่ตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง อดีตเด็ก หนุ่มผู้เป็ นผู้นําของกระโจมเจียเชินผู้นี้ โจวมี่ไม่ได้โปรดปรานเขา ธรรมดาๆ เลย

ทุกวันนี้จิตหยางกายนอกกายของโจวชิงเกาได้มาจากคราบร่าง ของป๋ ายอิ๋งอดีตปี ศาจ ใหญ่บนบัลลังก ์ที่โจวมี่หลอมขึ้นเองกับมือ นอกจากนี้ยังมีคราบร่างของหวงหลวน เชี่ยอวิ้นอีกสองร่างถูกฝัง เลื่อมเข้าไปในจิตและวิญญาณของโจวชิงเกา นี่ยังไม่พอ โจวมี่ยังได้ ทิ้งคาถาเซียนที่สร ้างขึ้นเพื่อลูกศิษย์คนนี้โดยเฉพาะไว้ให้อีกบทหนึ่ง ปีนั้นอาจารย์เลื่อนจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิ่วเดินขึ้นฟ้ าในก้าวเดียว ได้อย่างไร ลูกศิษย์ก็ทําตามเป็ นขั้นเป็ นตอนเลือนเป็ นขอบเขตหยก ดิบได้โดยตรงเช่นเดียวกัน

ไม่ถึงสิบปี โจวชิงเกาก็เป็ นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว

นี่เท่ากับกระโดดข้ามบันไดไปกี่ขั้น?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโจวมี่ยังมอบตําราลับอีกส่วนหนึ่งให้กับลูก ศิษย์คนสุดท้ายที่ชอบอ่านหนังสืออย่างมากผู้นี้ด้วย

นี่แสดงให้เห็นว่าหากมอบเวลาในการฝึกตนให้กับโจวชิงเกาอีก สักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นสามร ้อยห้าร ้อยปี? ก็มีความเป็ นไปได้อย่าง ยิ่งว่าเขาที่เรียนเวทคาถามาหลากหลายจะกลายเป็ นหลิ่วชีแห่งใต้ หล้าเปลี่ยวร ้าง

และหากมอบเวลาให้มากกว่านี้อีกหน่อย ระดับความสูงของ ผลสําเร็จบนมหามรรคาของโจวชิงเกา เมื่อเทียบกับหลิ่วชีแล้วก็มีแต่ จะสูงกว่าไม่มีตํ่ากว่า หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างเช่นต่างก็เป็ นขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน

เซียนกระบี่โซ่วเฉินที่เป็ นศิษย์พี่ใหญ่ของโจวชิงเกาได้รับกระบี่ พกระดับอาวุธเซียนสามเล่มจากอาจารย์

กลับเป็ นหลิวป๋ ายศิษย์พี่หญิงของเขาที่ได้แค่อาวุธเซียนหนึ่งชิ้น กับอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น คือชุดคลุมอาคมที่มีชื่อว่า “เสี่ยวต้งเทียน” (ถํ้าสวรรค์เล็ก) และกวานดอกพุดตานสีเขียวมรกตที่เข้าคู่กับชุด คลุมอาคมตัวนี้

ลู่ไถมือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งตบหัวเข่าเบ่าๆ ร ้องกลอน เพลงบทหนึ่งด้วยสําเนียงของบ้านเกิด ต้นหญ้าบนที่ราบ หนึ่งปีผลิ บานหนึ่งปีร่วงโรย….

โยวโจว

ม่านราตรีหนาหนัก ในอาณาเขตของจัวลู่ซากปรักสนาม โบราณ อารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าอารามจินหัวตั้งอยู่บน ชายเขตของเมืองหู่ลู่

จูลู่พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ ในเมื่อนอนไม่หลับนางจึงลุก ขึ้นมา ออกจากห้องมาเดินเล่นในลานบ้าน ผลคือพบว่าลู่เฉินนั่งยอง ใช ้แสงจันทร ์อ่านตําราอยู่ที่ขั้นบันได

พอได้เห็นเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้ อารมณ์ของจูลู่ก็ซับซ ้อน ลู่เฉินที่เคยเป็ นนักพรตจือเค่อทําหน้าที่ต้อนรับแขกอยู่ที่นี่น่าจะเป็ น เรื่องเก่าแก่ที่เกิดขึ้นเมื่อร ้อยปีก่อนแล้ว

เนื่องจากอารามแห่งนี้ถือเป็ นฉงหลินส่วนตัว ชื่อเสียงไม่โดดเด่น ก็ย่อมต้องมีเหตุผลที่ชื่อเสียงไม่โดดเด่น เป็ นเพราะในอารามไม่มี ยอดฝี มือ เจ้าอารามคนก่อนก็ได้แต่ตรากตรําฝึ กตนจนได้เป็ น ขอบเขตถํ้าสถิต

ครั้งนี้หวนกลับมาที่อารามอีกครั้ง ลู่เฉินผลักประตูเปิดออกได้ก็ เริ่มพูดจาเหลวไหลอะไรที่บอกว่าเสี่ยวปู้ ไฉ ภูมิลําเนาอยู่ที่ชวีหยวน ฉายาซ่านมู่ เดินทางมาถึงที่นี่พร ้อมกับสหายรัก ขอมาพักอาศัย

ชั่วคราวแค่ไม่กี่วันก็จะจากไปแล้ว ผินเต้าต้องขอขอบคุณมาไว้ ณ ที่นี่ด้วย…

ต่อให้อารามจะเล็กแค่ไหน แต่มีคนมาขออาหารเจกินแค่ไม่กี่มื้อ ก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ ผลคือลู่เฉินที่วันนั้นได้เข้าพักในอารามพาจูลู่ไป ที่ห้องอาหาร จูลู่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว ลู่เฉินนั่งลงบนโต๊ะ อาหารก็เอาแต่ก้มหน้าหุ้ยข้าว ยามที่เจ้าอารามถามคําถามก็ยืน กรานว่าจะไม่เงยหน้าขึ้น ต่อให้เป็ นเช่นนี้ “ลู่เฉิน” ก็ยังคงถูกเจ้า อารามคนปัจจุบันจําได้นักพรตเฒ่าตบโต๊ะแล้วเริ่มก่นด่า ไม่สน สถานะเต้ากวานหรือข้อพิถีพิถันด้านมารยาทอะไรอีกแล้ว หากไม่ เป็ นเพราะนักพรตกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในอารามช่วยห้ามไว้ นักพรตเฒ่าที่ ทั้งเส้นผมและหนวดล้วนขาวโพลนผู้นั้นก็คงจะประเคนทั้งหมัดและ เท้าให้กับ “นักพรตจือเค่อบ้านตน ผู้นี้ไปแล้ว

เดิมทีอารามก็ยากจนอยู่แล้ว นักพรตแซ่ลู่ที่ปีนั้นรับหน้าที่เป็ น คนต้อนรับแขกกลับติดนิสัยมือเติบใจปํ้า เบียดบังผลประโยชน์ ส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เจ้าตะพาบผู้นี้มักจะเรียกพรรค พวกให้มากินดื่มที่อารามอย่างอิ่มหนําเสมอ

หากมีเพียงแค่นี้ทางอารามก็คงอดทนเอาไว้ ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า วันที่ “ลู่ชี่” ปลดประจําการจากตําแหน่งผู้รับรองแขก เขาฉวยโอกาส ตอนกลางดึกฟ้ ามืดลมแรง หอบเอาเงินทองของมีค่าเล็กๆ น้อยๆ ที่ เจ้าอารามและคนอื่นๆ ในอารามเก็บสะสมไว้อย่างยากลําบากไปเสีย เกลี้ยง นักพรตที่ทําเรื่องชั่วช ้าสามานย์ถึงเพียงนี้ ก่อนจะจากลายัง

บทที่ 1073.6 นํ้าใสภูเขาเขียวบุปผาบานสะพรั่ง 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!