เข้าสู่ระบบผ่าน

กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 1077

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช ้าด้วยน้าเสียงเรียบเรื่อย “วิถีทางโลกในทุก วันนี้ ชื่อเรียกปะปนกันวุ่นวาย ชื่อด้านกฎหมาย ยศศักดิ์ และชื่อทาง วรรณกรรมล้วนยึดตามแบบแผนโบราณ ส่วนชื่อเรียกทั่วไปนั้น เป็ นไปตามจารีตประเพณี กระจัดกระจายหลากหลาย เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา เปลี่ยนจากเก่ามาใช ้แบบใหม่ บวกกับการประดิษฐ ์ ชื่อเรียกแปลกใหม่ให้กับสรรพสิ่ง ชื่อและความจริงก็ยิ่งสับสนปนกัน ถ้าชื่อเรียกไม่ถูกต้อง ค าพูดก็ไม่เป็ นระเบียบ หากค าพูดไม่เป็ น ระเบียบ การกระทาก็จะไม่สาเร็จ แม้ว่าสิ่งต่างๆ จะมากมาย แต่ ทั้งหมดล้วนมีชื่อเรียกรวมกัน ผลักดันหาจุดร่วม เมื่อรวมกันแล้วก็จะ เจอจุดร่วม จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่มีส่วนร่วมจึงหยุด การยกตัวอย่าง เฉพาะเจาะจงนั้นคือการจาแนกชื่อที่สาคัญอย่างหนึ่ง ผลักออกเพื่อ แยกแยะ เมื่อแยกแล้วก็ย่อมเห็นความแตกต่าง จนกระทั่งไม่มีความ แตกต่างจึงจะหยุดรูปร่างความคิดแตกต่าง แต่ก็ยังสื่อสารกันได้ สิ่งของที่แตกต่าง ชื่อและแก่นแท้ปนกันสับสนการตั้งชื่อจึงต้องอาศัย ทั้งความเหมือนและความแตกต่าง เป็ นแกนหลักของการตั้งชื่อที่มิ อาจมองข้ามได้”

“เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องของการป่าวประกาศชื่อเรียกของบุคคล และเรื่องราวในใต้หล้า ข้าเป็ นแขก คงไม่ทาในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของ

ตน แต่สามารถอาศัยกาลังอันน้อยนิดที่มี ข้าจะพูดแค่เรื่องสองเรื่อง ให้ทุกท่านได้เอาไปใช ้อ้างอิง”

“จะพูดเรื่องของการเรียนวรยุทธในใต้หล้ากับผู้ฝึกยุทธทุกท่านที่ อยู่ที่นี่ก่อน เป็ นเรื่องของการตั้งคาจากัดความชื่อเรียกในการ แบ่งแยกสูงต่าของแต่ละขอบเขตและความสอดคล้องต้องกัน”

เมื่อคาพูดนี้ดังออกมา ปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างพวกเฉานี่ อู่ แชว่ก็มีสีหน้าสดชื่นเปลี่ยนมาเป็ นฮึกเหิมประหนึ่งมังกรและพยัคฆ์ที่มี ชีวิตชีวา กลัวว่าจะพลาดคาใดคาหนึ่งไป

ส่วนพวกอดีตผู้ฝึกยุทธที่เปลี่ยนไปเดินขึ้นเขาฝึกวิชาเซียนอย่าง พวกถังเถี่ยอี้ ปี้เซิ่งเฉิงหยวนชานก็รีบทาตัวให้กระปรี้กระเปร่า เงี่ยหู ตั้งใจฟัง

แม้กระทั่งพวกผู้หลอมลมปราณที่รู ้สึกว่าในที่สุดก็เข้าประเด็น ส าคัญได้เสียที พวกเขาจึงเริ่มจะตั้งใจฟังกันบ้างแล้ว ดูสิว่าเจ้าคนที่ แยกไม่ออกว่าเป็ นปรมาจารย์วิถีวรยุทธหรือเซียนกระบี่พสุธากันแน่ผู้ นี้กาลังอมพะนาอะไรอยู่กันแน่ คิดจะหลอกขายยาหนังสุนัขที่ตบตา ประชาชนหรือจะขายยาวิเศษที่สามารถสร ้างผลประโยชน์ให้กับการ เรียนวรยุทธในใต้หล้า?

เฉินผิงอันกล่าว “เก้าขอบเขตของวิถีวรยุทธ หลอมเรือนกาย หลอมลมปราณและหลอมจิตวิญญาณต่างก็แบ่งแยกไปอีกอย่างละ สามขั้น ขยับขึ้นไปทีละชั้น เดินขึ้นสู่ที่สูงไปทีละก้าว หนึ่งก้าวขึ้น

บันไดหนึ่งขั้น จะช ้าหรือเร็วก็อยู่ที่ตัวคน แต่ความเร็วความช ้าไม่ได้มี ข้อดีและข้อเสียอะไร สาคัญคือต้องดูที่ระดับความแข็งแกร่งก็การขัด เกลาเส้นเอ็นกระดูกและเลือดลม วิชาหมัดจะสามารถบ่มเพาะจิต วิญญาณออกมาได้หรือไม่ จะเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งได้หรือไม่ หรือจะมีแต่ขอบเขตที่สูง ทว่าเรือนกายกลับเหมือนกระดาษเปียกยาม ที่ประชันกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันก็มิอาจต้านทานการโจมตีได้ ยามที่ต้องประลองกับผู้หลอมลมปราณบนภูเขาที่ในมือครอบครอง สมบัติวิเศษ สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ก็พ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย เป็ นเหตุให้ผู้มีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธต้องล าบากยิ่งกว่า เข้าถึง แก่นแท้ให้มากกว่า แต่กลับด้อยในเรื่องชื่อเสียงมากกว่าผู้มี พรสวรรค์ด้านการฝึกตนบนภูเขา”

ปรมาจารย์วิถีวรยุทธอย่างพวกเฉานี่ต่างก็รู ้สึกว่าการอธิบาย ของอีกฝ่ ายไม่ธรรมดาโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนี้ที่มีเหตุผลมาก ที่สุด

อู๋แชว่เกิดความสนใจขึ้นมาทันที ในใจไม่เหลือความคิดวุ่นวาย อีกแล้ว เพียงแต่เขาหลุดปากถามไปว่า “เซียนกระบี่เฉิน หากผู้ฝึก ยุทธอย่างพวกเราฝึกวรยุทธจนเข้าขั้นชานาญจะสามารถอาศัยก าลัง หมัดเท้ากดข่มผู้หลอมลมปราณได้หรือไม่?!”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถามได้ดี เมื่อครู่นี้ข้าขอร ้องให้พวกเจ้าทุกคน ลุกขึ้นจากที่นั่งหอใช ้เม็ดกระบี่ในตานานดันหัวของพวกเจ้าเอาไว้ ล่ะ?”

อู๋แชว่รู ้สึกเขินอาย แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้าง กุมหมัดเอ่ยเสียงดัง กังวานว่า “มีเหตุผล!”

มารดามันเถอะ คิดไม่ถึงว่า “เซียนกระบี่เฉิน” ผู้นี้จะเป็ นคน กันเอง สาแก่ใจ สาแก่ใจนัก ถือว่าได้ช่วยให้ตนได้ระบายความอัดอั้น ที่สะสมมานานหลายปี! คิดว่าเป็ นเทพเซียนอยู่บนภูเขาแล้วร ้ายกาจ นักหรือไร?!

เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “สามขอบเขตของขอบเขตหลอมเรือน กายแบ่งออกเป็ นดินดิบ หุ่นไม้และน้าเงิน (ในที่นี้หมายถึงปรอท) การ หลอมลมปราณสามชั้นต่อจากนั้น สาคัญตรงที่จิต วิญญาณและ ความกล้า ดังนั้นจึงมีชื่อว่าขอบเขตจิตวีรบุรุษ ขอบเขตวิญญาณผู้ กล้าและขอบเขตความกล้าแห่งนักสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบ่มเพาะ ให้เกิดความกล้าแห่งนักสู้ในขอบเขตหกที่สาคัญอย่างถึงที่สุด ถูก มองเป็ นจุดศูนย์กลางของลมปราณแท้จริงของผู้ฝึ กยุทธมาโดย ตลอด คือกุญแจสาคัญในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาของวิถีวรยุทธ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธทุกท่านที่อยู่ที่นี่ รวมไปถึงผู้หลอมลมปราณที่ เคยเป็ นผู้ฝึกยุทธ ไม่สู้ลองถามตัวเองอีกครั้งว่าความกล้าแห่งนักสู้ ของตัวเองคือสิ่งใด ได้มาจากที่ใด จากนั้นลองตั้งชื่อเป็ นการส่วนตัว ดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน”

“สามขอบเขตของการหลอมจิตวิญญาณคือร่างทอง อีกชื่อคือ จินกัง เดินทางไกล มีอีกชื่อคือพลิกดิน ยอดเขา เหนือยอดเขาซึ่ง

เป็ นขอบเขตเก้ายังมีขอบเขตสิบ มีชื่อว่าขอบเขตปลายทาง มี ความหมายก็คือผู้ฝึกยุทธมาหยุดเท้าอยู่ที่นี่”

“แต่ขอบเขตปลายทางก็แบ่งออกเป็ นอีกสามขั้น ได้แต่ปราณ โชติช่วง คืนความจริงเทพมาเยือน ผู้ฝึกยุทธจะต้องหยุดอยู่ที่นี่ เดิน ไปถึงปลายทางของเส้นทางหัวขาดแล้วจริงๆ หรือ? ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะเหนือขอบเขตสิบยังมีอีกขอบเขตหนึ่งในตานาน สามารถ เรียกว่าเป็ นเทพแห่งการต่อสู้ได้”

นี่ต่างหากจึงจะเป็ นเมฆเคลื่อนออกมองเห็นแสงตะวันอย่าง แท้จริง!

ในอารามต้ามู่พลันเงียบสงัดไร ้สรรพส าเนียง มีเพียงเสียงลม หายใจแผ่วเบาเท่านั้น

สตรีองอาจที่ยืนอยู่ข้างกายมือกระบี่เฉานี่ ปีนี้อายุห้าสิบปี แต่ กลับมีรูปโฉมเป็ นสตรีวัยกลางคน นางไม่เคยพกอาวุธติดกาย และนี่ เป็ นครั้งแรกที่นางเปิดปากพูด “ขอถามอาจารย์เฉิน จงเชี่ยนที่เป็ น บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า เขาอยู่ที่ขอบเขตเท่าไร? ทุกวันนี้คือ ขอบเขตร่างทองหรือ?”

ปรมาจารย์ใหญ่จงเชี่ยนของพวกเราได้ยินคาถามก็แค่กลอกตา มองบนเท่านั้น

เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “จงเชี่ยนคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขต ร่างทองคนแรกในโลกมนุษย์ของพวกเจ้าจริงๆ ปีนั้นพวกอวี๋เจินอี้

กับจ้งชิวก็เหมือนกับพวกเจ้าในเวลานี้ที่ต่างก็หยุดอยู่ที่ขอบเขต ความกล้าแห่งนักสู้ ไม่ได้ฝ่ าทะลุคอขวด ทว่าในความเป็ นจริงแล้วติง อิงในประวัติศาสตร ์ และยังมีผู้อาวุโสในยุทธภพบางคนที่มาก่อนดึง อิงต่างก็เคยเลื่อนเป็ นขอบเขตเจ็ด ทว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้อง กับคาว่า “บริสุทธิ์เต็มตัว’ แล้ว เป็ นเหตุให้ไม่ได้รับการยอมรับจาก มหามรรคาของฟ้ าดิน ในสายตาของข้า มีแค่คนคนเดียวที่พอจะถือ เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองคนแรกก่อนจงเชี่ยนได้ นั่นก็คือ สุยโย่วเปียนที่พกกระบี่บินทะยานพยายามจะเปิดม่านฟ้ า”

“เดิมทีปรมาจารย์สุยก็เป็ นคนที่ผู้เยาว์เลื่อมใสที่สุดในชีวิตอยู่ แล้ว!”

สตรีผู้นี้อารมณ์ดีมาก สีหน้าของนางสดใส กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ใช่ แล้ว ลืมแนะน าตัวเองกับอาจารย์เฉินไปเลย ข้าชื่อเฮ้อฉีโจว มาจาก เขตชนบทของเจี้ยงโจวแคว้นซงไล่!”

มักจะต้องมีพวกชอบสอดรู ้สอดเห็นที่ประเมินสิบคนใน ประวัติศาสตร ์ของใต้หล้าอย่างส่งเดช พอเอาแต่ละยุคแต่ละสมัยมา ประกอบเข้าด้วยกัน คุณชายผู้สูงศักดิ์จูเหลี่ยนและติงอิงแห่งลัทธิมาร ก็มักจะคว้าสามอันดับแรกได้อย่างมั่นคงเสมอ ในยุทธภพไม่มี ความเห็นต่าง อย่างมากก็แค่ทะเลาะกันว่าใครเป็ นที่หนึ่งใครเป็ นที่ สองเท่านั้น แต่เกี่ยวกับอีกตาแหน่งหนึ่งที่เหลืออยู่กลับแทบไม่เคยมี ใครเอาสุยโย่วเปียนใส่เข้าไป เฮ้อฉีโจวรู ้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่จะมัวมา ทะเลาะกับพวกเขาเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ดีนักนะ ในที่สุดตอนนี้ก็มีข้อสรุป

แล้ว! บุรุษอย่างพวกเจ้าที่เพียงแค่เพราะความเห็นแก่ตัวจึงจงใจดู แคลนสุยโย่วเปียน ยังมีใครรู ้สึกไม่ยอมแพ้อีกบ้างเล่า?

ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มน้อยๆ กุมหมัดคารวะนาง กลับคืน หากไม่รู ้เรื่องนี้ ข้ายังต้องพูดประโยคสุดท้ายเพิ่มมาให้มาก ความท าไม

เฮ้อฉีโจวถามอย่างระมัดระวัง “ขอบังอาจถามอาจารย์เฉินอีกสัก ประโยค ทุกวันนี้ขอบเขตวิถีวรยุทธของอาจารย์เฉินอยู่บนบันไดขั้น ไหน?”

ดินดิบ หุ่นไม้ น้าเงิน จิตวีรบุรุษ วิญญาณผู้กล้า ความกล้าแห่ง นักสู้ ร่างทอง เดินทางไกล ยอดเขา ปราณโชติช่วง คืนความจริงและ เทพมาเยือนสามขั้นของขอบเขตปลายทางผลส าเร็จสุดท้ายก็คือ ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้!

เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “เคยเป็ นขั้นคืนความจริงของ ขอบเขตปลายทาง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งขอบเขตถดถอยมาเป็ น ปราณโชติช่วง”

บทที่ 1077.3 ท่านอาจารย์ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย 1

บทที่ 1077.3 ท่านอาจารย์ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย 2

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!