นักพรตส่ายหน้ายิ้มเงื่อน “ศิษย์พี่ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ม่านหนา หนักประหนึ่งขุนเขาสูง สูงเกินกว่าจะปืนป่ายได้ถึง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ คือฝุ่ นเม็ดหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางตรงตีนเขาคิดจะเดินอ้อมเส้นทางผ่าน ไปยังเป็ นเรื่องเพ้อฝัน”
เฉินชิงหลิวพยักหน้า “เป็ นแบบนี้ถึงจะถูก หาไม่แล้วตบะของ บรรพจารย์สามลัทธิจะไม่กลายเป็ นเครื่องประดับหรือ แต่นี่ก็แสดงให้ เห็นว่าอาจารย์ซานซานจิ๋วโหวมีความคิดเป็ นของตัวเองต่อการ ดาเนินไปของวิถีทางโลกใบนี้ เขาคิดว่าต้องเกิดความแตกต่าง บางอย่างแน่นอน บวกกับที่อาจารย์ฉีและชุยฉานคอยผลักดันคลื่น อยู่อย่างลับๆ ก็ยิ่งทาให้คนนอกรู ้สึกเหมือนมองบุปผาในม่านหมอก”
นักพรตมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ขอสหายเฉินโปรด ระมัดระวังค าพูดด้วย”
สหายเจ้าตัวคนเดียวไม่มีภาระ แต่ผินเต้ามีอาจารย์ มีศิษย์พี่ศิษย์ น้องนะ
นักพรตแซ่เก๋อพลันถามอย่างสงสัยว่า “ท าไมสหายเฉินถึง เรียกชื่อซิ่วหูตรงๆ แต่กลับเรียกฉีจิ้งชุนด้วยความเคารพว่าอาจารย์ ฉี?”
่
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “คนแรกที่หานักพรตเจี่ยเฉิงเจอก็คืออาจารย์ ฉี เขาเลี้ยง….เหล้าพวกเราหนึ่งมื้อ เอาเป็ นว่าคุยกันถูกคออย่างมาก ตอนอยู่บนโต๊ะสุรา”
เจ้าให้หน้าข้า ข้าก็ให้หน้าเจ้า
นี่เรียกว่ายุทธภพอย่างไรเล่า
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉีจิ้งชุนให้คาประเมินที่สูงมากต่อตน ประเด็นส าคัญคือยังเป็ นค าพูดจากใจจริงของอีกฝ่ายด้วย
ตอนอายุยังน้อยวาดฝันถึงยุทธภพอย่างสุดหัวใจ เพียงแค่เพราะ ในยุทธภพมีมือกระบี่ชุดเขียวที่รู ้แค่ว่าแซ่เฉินอยู่คนหนึ่ง
เฉินชิงหลิวบอกเป็ นนัยแก่นักพรตว่าสามารถเก็บร่ม ‘รังเมฆ” คันนั้นไปได้แล้ว ครั้นจึงหันหน้าไปหาหลิวชื่อเฉิง ถามว่า “มาถึง ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ได้ดื่มเหล้ากับสหายจิ่งชิงหรือไม่?”
หลิวชื่อเฉิงมึนงง “เด็กชายชุดเขียวที่ชื่อว่าเฉินหลิงจวิน เจียวน้า ขอบเขตก่อก าเนิดคนนั้นน่ะหรือ?”
เฉินชิงหลิวยื่นมือมากดหัวของลูกศิษย์คนนี้ “หากนับกัน ตามล าดับอาวุโสในยุทธภพแล้ว เขาเรียกเจ้าว่าหลาน เจ้าก็ต้องพยัก หน้าตอบรับ”
่
กู้ช่านโพล่งถามขึ้นมาว่า “อาจารย์ปู่ ตามคากล่าวของพวกท่าน เฉินผิงอันสามารถกลายเป็ นผู้ชนะในท้ายที่สุด เกิดจากโชคชะตา กาหนด หรือเป็ นสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง?”
เฉินชิงหลิวผงกปลายคางไปทางนักพรต นักพรตอย่างพวกเขา ท านายดวงชะตาได้เก่งที่สุด
นักพรตยิ้มเอ่ย “ผู้ที่พยายามด้วยตัวเองมักจะเจอโชคดีมากมาย เสมอ”
กู้ช่านพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส
เฉินชิงหลิวกลับมีเรื่องในใจอีกเรื่องหนึ่ง เพียงแค่เพราะปีนั้นฉีจิ้ง ชุนเป็ นฝ่ ายมาดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับตน เอ่ยประโยคประหลาดที่คล้าย
คาทานายประโยคหนึ่ง
น่าเสียดายที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิขาว แต่ยัง โชคดีที่ขุนเขาเขียวอยู่เคียงข้างจนผมขาว แม้เงียบขรึมแต่ก็อบอุ่น บทกวีเก่าจืดจางเหมือนสุราเหลืองอ่อน ความกลัดกลุ้มใหม่เข้มข้น ดุจน้าตกหวงเหอ ราวกับยังไม่เคยได้แตะต้อง
เฉินชิงหลิวถามอีก ฉีจิ้งชุนกลับพูดแค่ว่าแค่ตั้งตารอดูไปก็พอ ครั้นจึงยกชามเหล้าดื่มคารวะเขา ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่าถ่อมตนยอม ถอยแก่ใต้หล้า พวกเรายกสุราขึ้นดื่มเถิด
่
คิดไปคิดมา เฉินชิงหลิวคิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นถึง ได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาวมารอบหนึ่ง ไปถึงก็ถามเจิ้งจวีจงว่า เจ้า คงไม่ได้แซ่เดียวกับข้าหรอกกระมัง?
เจิ้งจวีจงคิดถึงปมของปัญหาได้ทันใด ยิ้มเอ่ยมาว่า ข้าทั้งไม่ใช่ มรรคาจารย์เต๋า แล้วก็ยิ่งไม่มีทางเป็ นเฉินผิงอันที่เดินย้อนกระแส
กลับมา ……คนที่มาเปิ ดประตูคือสาวใช ้อายุน้อยเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น บุรุษวัยกลางคนปลดงอบลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าชื่อหลูเยว่ เป็ นคน บ้านเดียวกับพวกเจ้า มาหาศิษย์พี่เว่ยเพื่อราลึกความหลังกัน”
สาวใช ้ที่มีชื่อว่าเถาหยาเอ่ยอย่างตกตะลึง “ศิษย์พี่เว่ย?”
ท่านปู่เว่ยที่ไม่เคยรับลูกศิษย์แล้วก็ไม่เคยพูดถึงการสืบทอดของ ตัวเอง มีศิษย์น้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นางไม่กล้าเปิ ดประตูส่งเดช หลายปี มานี้นครลมเย็นสงสัยมาโดยตลอดว่าพวกเขาเป็ นพวก เดียวกับคนที่วางแผนขโมยแคว้นหูไป หากเป็ นคนชั่วล่ะ? ท่านปู่ เว่ย ปิด ประตูไม่ต้อนรับแขกมานานหลายปีแล้ว
่
บุรุษวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่าหลูเยว่เปลี่ยนคาพูดเสียใหม่ “ข้า มาหาเว่ยเปิ่นหยวนนักพรตป่ายหยาง ข้าออกมาจากเมืองเล็กเร็วกว่า พวกเจ้า ทุกวันนี้ฝึกตนอยู่ในอุตรกุรุทวีปอยู่บนภูเขาเล็กแห่งหนึ่งที่ ควันธูปธรรมดา ตอนนี้มีลูกศิษย์อยู่แค่สองคนเท่านั้น เถาหยาเจ้า ช่วยไปรายงานหน่อย หากเว่ยเปิ่นหยวนไม่รู ้จักหลูเยว่อะไร ข้าก็จะ กลับไปเดี๋ยวนี้ นี่หมายความว่ายังไม่ถึงเวลา คราวหน้าค่อยมาเยี่ยม เยือนใหม่”
เถาหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบอกให้หลูเซียนซือท่านนี้รอสักครู่ แล้วนางก็ไปรายงานข่าวให้กับท่านปู่เว่ยที่ง่วนหลอมยาอยู่ตลอดทั้งปี เว่ยเปิ่นหยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะหน้าเตาหลอมยาลืมตาขึ้น ตอนที่เด็กสาวเดินมาถึงหน้าประตู ผู้เฒ่าก็ลุกขึ้นยืนแล้ว เขาถอน หายใจเบาๆ ไม่ช ้าก็เร็วต้องมาหาถึงที่อยู่แล้ว ก็แค่ว่ามาไวกว่าที่ คาดการณ์ไว้หลายปีเท่านั้นในเมื่อป๋ ายฉางมาแล้ว หากยังหลบเลี่ยง ไม่ยอมพบหน้าก็อาจตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าไม่เห็นแก่มิตรภาพใน วันวานจริงๆ
เว่ยเปิ่นหยวนมีฉายาว่า “ป่ ายหยาง” จริงๆ เพียงแต่ว่าฉายานี้ ไม่ได้ใช ้มานานหลายปีแล้ว เมื่อหลายปีก่อนเพิ่งจะ “บังเอิญ” นึกขึ้น ได้ ปีนั้นผู้เฒ่าออกจากถ้าสวรรค์หลีจูที่เป็ นบ้านเกิดมาอย่างเงียบ เชียบ ข้างกายพามาแค่เถาหยาที่ผู้เฒ่ามองเป็ นผู้เยาว์ในบ้านของ ตัวเองมาโดยตลอด ใช ้ที่ดินแลกที่ดินกับสกุลสวี่นครลมเย็น เลือก สร ้างกระท่อมฝึกบ าเพ็ญตนอยู่ในสถานที่ที่เป็ นกิจการบรรพบุรุษของ
่
สกุลซวี่แห่งนี้ นี่เป็ นเพราะเว่ยเปิ่นหยวนทาตามคาสั่งจากจดหมาย ทางบ้านฉบับหนึ่งในอดีต บอกให้เขาพาเถาหยามาที่นี่ รอคอย วาสนาที่จะมาถึง ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นหู และเรื่อง จริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเนื้อหาที่อยู่ใน “จดหมายทางบ้าน” ฉบับนั้น ไม่ได้โกหก เถาหยาได้รับโชควาสนาสองอย่างในแคว้นหูจริงๆ นั่น คือเข็มขัดแพรต่วนหลากสีเส้นหนึ่งที่เป็ นฝ่ ายยอมรับนายด้วยตัวเอง และยังมีกิ่งท้อแห้งเหี่ยวกิ่งหนึ่งที่ผ้าแพรชักนาให้เจ้านายไปเก็บได้ จากในภูเขาลึก
คนที่ส่งจดหมายมาให้ก็คือ ‘ชิงจวิน” ที่เคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไป ทั่วใต้หล้าในยุคบรรพกาล แต่ว่าชื่อที่ลงท้ายในจดหมายกลับเป็ นชื่อ ‘จวิ้นชิง” ตอนนั้นเว่ยเปิ่นหยวนไม่รู ้ตัวตนที่แท้จริงของคนส่งจดหมาย คนนี้ เข้าใจผิดคิดว่าเป็ นบุคคลรุ่นบรรพบุรุษบางคนที่ออกจากบ้าน เกิดไปเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นการที่ชาตินี้เว่ยเปิ่นหยวนสามารถเดิน ไปบนเส้นทางการฝึกตนได้ก็ต้องยกคุณความชอบให้กับจดหมาย ทางบ้านฉบับหนึ่งที่ “บรรพจารย์จวิ้นชิง” ส่งไปยังตรอกเถาเย่ตอนที่ เขาอายุยังน้อย
หลังจากที่เว่ยเปิ่นหยวนฟื้นคืนความทรงจามาได้ เขาถึงได้รู ้ถึง ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและอีกฝ่าย
ชิงจวินแห่งภูเขาฟางจู้เคยได้รับคาเชื้อเชิญจากหลี่เซิ่ง ที่ว่าการ ตั้งอยู่ที่ภูเขาฟางจู้ซึ่งมีฐานะสูงส่ง เจินเหรินพสุธาท่านนี้มีหน้าที่ดูแล ถ้าสวรรค์พื้นที่มงคลบนพื้นดินและทะเบียนของเซียนดินทั้งหมด
่
ชิงจวินเองก็เป็ นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ซานซาน จิ๋วโหว เขาเคยทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ที่ภูเขาฉีตุน
เพื่อให้เป็ นค่าตอบแทนที่ร่วมมือกับอาจารย์ร่ายค่ายกลให้กับถ้า สวรรค์และซุ้มป้ ายหอสยบกระบี่ ชิงจวินรับค่าตอบแทนที่จะมีหรือไม่มี ก็ได้มาให้พอเป็ นพิธีเท่านั้น นั่นก็คือเอาปลาหลีตัวหนึ่งมาจากถ้า สวรรค์หลีจู หรือก็คือหลี่จิ่นเทพวารีแม่น้าชงต้นในทุกวันนี้
เว่ยเปิ่นหยวนออกมาต้อนรับป๋ ายฉางหรือควรจะเรียกว่าหลูเยว่ แห่งถนนฝูลู่ในอดีต ภายหลังคือหลูฉิงฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นราชวงศ์ สกุลหลู ทุกวันนี้คือเซียนกระบี่ผู้เป็ นบุคคลอันดับหนึ่งของอุตรกุรุ ทวีปด้วยตัวเอง
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าซับซ ้อน ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า
ป๋ ายฉางยิ้มบางๆ “คารวะศิษย์พี่หวัง”
คนจริงไม่เปิดเผยตัวตน เปิดเผยตัวตนไม่ใช่คนจริง
ทั้งสองต่างก็เป็ นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์ ซานซานจิ๋วโหว และทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยอยู่ในเมืองเล็กถ้าสวรรค์หลี จู แต่คนที่รู ้เรื่องนี้ จนถึงทุกวันนี้กลับมีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
เมืองเล็กในอดีต คนที่ชอบเล่นหมากล้อมมีจานวนอยู่ไม่น้อย ตระกูลคนมีเงินของถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ หลายคนต่างก็ชอบเล่น หมากล้อมผ่อนคลายอารมณ์ แต่คนที่เรียกได้ว่าเป็ นยอดฝี มือบน กระดานหมากได้อย่างแท้จริง บางทีอาจมีอยู่แค่สามคนเท่านั้น
่
นอกจากเจ้าประมุขสกุลหลี่ของถนนฝูลู่แล้วก็คือเว่ยเปิ่นหยวนแห่ง ตรอกเถาเย่ เจ้าประมุขสกุลเว่ยที่คนในเมืองเล็กมองเป็ น “เจ้าของ ที่ดินรายใหญ่ ผู้เฒ่าทั้งสองคนมีนิสัยคล้ายคลึงกัน ความสัมพันธ ์ก็ สนิทสนมกันอย่างมาก และยังมีสถานะอีกชั้นหนึ่งที่ถูกปิดบังเอาไว้ พวกเขาต่างก็เป็ นผู้ที่ประสบความสาเร็จในการฝึ กตน อยู่ในถ้า สวรรค์หลีจูที่เหมาะแก่การฝึ กตนอย่างยิ่งในอดีตต่างก็ฝึ กได้เป็ น เซียนดินโอสถทองกันทั้งคู่
ส่วนยอดฝีมือคนที่สาม แน่นอนว่าต้องเป็ นคนเฝ้ าประตูเจิ้งต้า เฟิงแล้ว
ตอนที่เฉินผิงอันส่งจดหมายหารายได้ก็เคยเอาจดหมายทางบ้าน สองฉบับไปส่งให้กับตระกูลเว่ยที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมเลี้ยวของตรอกเถา เย่ ผู้เฒ่ายังเคยชวนให้เด็กหนุ่มเข้าไปพักดื่มน้าในบ้าน เพียงแต่เด็ก หนุ่มปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม เว่ยเปิ่นหยวนยังเคยเตือนเฉินผิง อันว่าหากมีเวลาว่างก็ให้ไปนั่งอยู่ใต้ต้นไหว เหตุผลก็คือเก็บใบไหว และกิ่งไหวไป สามารถเอากลับบ้านไปป้ องกันพวกมดแมลงตะขาบได้ เด็กหนุ่มจดจ าไว้ในใจเงียบๆ โค้งตัวขอบคุณผู้เฒ่าอยู่ที่เชิงบันได
ที่บ้านเกิดแห่งนั้น เว่ยเปิ่นหยวนมักจะดึงตัวหลี่ซีเซิ่งให้มาเล่น หมากล้อมด้วยกันบ่อยๆ เคยมอบต าราหมากล้อมให้อีกฝ่ ายหลาย เล่ม ทั้งยังพร่าพูดถึงหลักการเล่นหมากล้อมซ้าไปซ้ามาอยู่หลาย ประโยค
่
หลี่ซีเซิ่งและท่านปู่ ของหลี่เป่ าผิง ในอดีตต่างก็ชอบศึกษาเรื่อง ยันต์ รอกระทั่งถ้าสวรรค์หลีจูปริแตกหล่นร่วงลงพื้น การสยบการาบ บนมหามรรคาที่มีต่อผู้ฝึกลมปราณหายไป ดังนั้นผู้เฒ่าจึงได้เลื่อน เป็ นขอบเขตก่อก าเนิดได้อย่างรวดเร็ว
และเว่ยเปิ่นหยวนเองนั้นก็ชอบหลอมโอสถ ทว่ากลับมิอาจฝ่ า ทะลุคอขวดขอบเขตโอสถทองไปได้เสียที เขาจึงมาหลอมยาต่ออีก ครั้งในสถานที่ที่เป็ นดั่งแดนสุขาวดีนอกโลกแห่งนี้ ยี่สิบกว่าปีผ่านไป เหมือนวันเดียว ผู้เฒ่าไม่รีบร ้อนแม้แต่น้อย
ภายหลังหลี่เป่าผิงก็เดินทางมาถึงที่นี่ แวะมาเยี่ยมเยียนเขา นาง นายันต์สองแผ่นที่พี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่งมอบให้มามอบให้กับท่านปู่เว่ย แบ่ง ออกเป็ นยันต์สร ้างโอสถและยันต์ก้อนดินล้วนเป็ นกระดาษยันต์สี เขียวของลัทธิเต๋า อย่างแรกแก่นของยันต์เหมือนพื้นที่มงคล มีแสง เรืองรองสีทองไหลเวียนวน อย่างหลังคล้ายกับแท่นพิธีดอกบัวที่มีไอ หมอกลอยอบอวล นี่คือของขวัญตอบแทนกลับคืนขอบคุณที่ผู้เฒ่า คอยช่วยปกป้ องมรรคาให้ เว่ยเปิ่นหยวนสามารถส่งมอบต่อให้กับ “เถาหยา’ ที่ชาติกาเนิดไม่ธรรมดา ช่วยให้นางสร ้างโอสถทองได้ ราบรื่น นับแต่นั้นได้เป็ นห้าขอบเขตบน หนทางเบื้องหน้าราบเรียบไร ้ ขวากหนาม
ป๋ ายฉางเหลือบมองเถาหยาที่ยังคงถูกปิดหูปิดตา “ศิษย์พี่เว่ย น่า เสียดายนัก”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
่
ทั้งพูดถึงเถาหยาที่พลาดโชควาสนาในเมืองเล็ก ไม่ได้โดดเด่น ขึ้นมาในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ กลายเป็ นผู้ชนะที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากการจัดการของผู้เฒ่าในเรือนหลังของร ้านยาตระกูลหยาง ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็กที่ผ่าน “การทดสอบใหญ่รอบหก สิบปี” เผ่าปีศาจต้องได้ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่งอย่างแน่นอน อย่าง เถาหยา สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ก็คือคนที่ความหวังมากที่สุด
แล้วก็พูดถึงเรื่องที่เถาหยาไม่ได้เข้าไปอยู่ในแคว้นหู เท่ากับเดิน ผ่านหน้าประตูบ้านแล้วแต่ไม่ได้เข้าไป ไม่อาจฟื้นคืนความทรงจา ของเมื่อชาติก่อนแล้วสืบทอดซากปรักชิงชิวที่ปริแตกต่อ ก่อนจะ อาศัยสิ่งนี้มากลายเป็ นเจ้าแห่งจิ้งจอกในใต้หล้าอย่างถูกต้องชอบ ธรรมได้
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าผึ่งผายสง่างาม ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร ให้น่าเสียดาย ก็หนีไม่พ้นว่าคนมีใจแพ้ให้กับคนมีใจ ก็ยังไม่ใช่ว่า น้าดีไม่ไหลเข้านาคนอื่นอยู่ดีหรอกหรือ”
เถาหยาฟังด้วยความมึนง แต่คากล่าวที่ว่า “คนมีใจ” นี้ ก่อน หน้าวันนี้นางเคยได้ยินมาแค่ครั้งเดียว แต่กลับจดจาได้อย่างลึกซึ้ง
จาได้ว่าครั้งนั้นท่านปู่เว่ยบอกว่านางก็เหมือนกับเด็กหนุ่มที่มาส่ง จดหมาย ต่างก็เป็ นคนมีใจ
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มเอ่ย “โชควาสนาบนโลกมีเล็กใหญ่ กาลังดีถึง จะดีที่สุด แม่หนูเถาหยามีชีวิตอย่างวันนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว วันหน้า
่
ผลสาเร็จบนมหามรรคาจะสูงหรือต่าก็แค่ต้องเดินกันไปก้าวหนึ่งดูไป ก้าวหนึ่งเท่านั้น”
ในสามพันถ้อยคาของมรรคาจารย์เต๋ามีคากล่าวที่ว่า “ผู้ที่มี คุณธรรมลึกล้าก็เหมือนดั่งทารกที่เพิ่งถือกาเนิด” ส่วนหย่าเซิ่งก็มีคา กล่าวที่คล้ายคลึงกัน บอกว่า “ผู้ที่ยังคงรักษาหัวใจบริสุทธิ์ดั่งทารกไว้
ได้นั่นแล คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
ป๋ ายฉางถามว่า “ศิษย์พี่ฟื้นคืนความทรงจาได้อย่างไร?”
เว่ยเปิ่นหยวนยิ้มบางๆ “หลอมยาอยู่ในภูเขาไม่ได้ทาเรื่องอื่น หลอมไปหลอมมาก็จ าได้เอง”
ป๋ ายฉางหลุดหัวเราะพรืด ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มาจากสายเดียวกัน ได้มาพบเจอกัน ไฉนถึงยังทาตัวห่างเหินกันแบบนี้อยู่อีกเล่า
เว่ยเปิ่ นหยวนเจ้าประมุขสกุลเว่ย คือ “อัตตาเล็ก” “ตัวข้าที่ แท้จริง” คือเจินเหรินผู้บรรลุมรรคายุคบรรพกาลที่มีชื่อจริงว่าหวังห มิน ฉายาป่ ายหยาง
เหมือนกับนักพรตตาบอดเจี่ยเฉิง สารถีป๋ ายหมาง บัณฑิต เฉินจั๋วหลิว คนสามคนล้วนเป็ น “อัตตาเล็ก” ของเฉินชิงหลิวคน พิฆาตมังกร
แต่หวังหมินกับเฉินชิงหลิวก็มีความแตกต่างกันบางอย่าง อัตตา เล็กของนักพรตกลับอาจจะเป็ นอัตตาใหญ่ ร่างจริงของตัวข้าที่ แท้จริงกลับอาจจะเป็ นอัตตาเล็ก
่
ในฐานะหนึ่งในลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของอาจารย์ซาน ซานจิ๋วโหว นักพรตหวังหมิน เล่าลือกันว่าเกาเจินผู้บรรลุมรรคาที่ ชอบถือศีลห้าท่องไปตามห้านครผู้นี้เคยได้รับคาสั่งจากอาจารย์ให้ ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียน

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!