เดิมทีเด็กหนุ่มไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในอดีตเคยเดินทางท่องไปใน โลกมนุษย์เหยียบย่าธุลีแดงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นวิธีการห่วยๆ พวก นี้มาจนชินแล้ว ล้วนได้มาจากตาราหมากรุกฉบับไม่สมบูรณ์ เป็ น การค้าขายที่ได้กาไรไม่ขาดทุน ทว่าวันนี้เด็กหนุ่มกลับมีสีหน้า เคร่งเครียด เพียงแค่เพราะแผงลอยแผงนี้วางตาราหมากล้อมเอาไว้ เด็กหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับบุรุษที่ยิ้มต้อนรับลูกค้าพยายามทาสีหน้า ให้กระปรี้กระเปร่า สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็เล่นหมากล้อมที่วนสามจุดซ้า หาผลแพ้ชนะไม่ได้ซึ่งถือว่าเป็ นสถานการณ์หมากที่หาได้ยากยิ่งกว่า การเล่นให้ได้ผลที่เสมอกันเสียอีก บุรุษยิ้มเอ่ยว่าน่าเสียดายที่ขาดไป จุดหนึ่ง มิอาจเล่นวนซ้าสี่จุดได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องรบกวนให้สหาย เดินเพิ่มอีกหนึ่งก้าวแล้ว บุรุษยกมือข้างหนึ่งชี้ไปยังปากตรอกเล็ก เด็กหนุ่มเดินไปถึงปากตรอกก็หยุดแล้วหันหน้ากลับมา ถามว่าข้าชื่อ แซ่อะไร? บุรุษคล้ายเล่นทายคาปริศนา ชี้ไปที่ตัวเขาเอง เห็นเด็ก หนุ่มท าหน้างง บุรุษก็ได้แต่ยิ้มเอ่ยว่า รู ้แค่ว่าเจ้าแซ่อวี๋ เด็กหนุ่มแซ่อวี๋ เดินออกจากตรอก พริบตาเดียวก็มาถึงอาเภอขนาดเล็กที่กาลังมี การสอบเคอจวี่ มีผู้เฒ่าแก่หง่อมคนหนึ่งที่คอยเก็บกระดาษเก่า โดยเฉพาะ อยู่ในสถานที่ที่กลิ่นอายแห่งบุ๋นเข้มข้นนี้ แทบทุก ครัวเรือนล้วนจะต้องมีตะกร ้าไม้ไผ่สานใบเล็กที่เอาไว้บรรจุกระดาษ เสมอ ไม่ว่าจะเป็ นเทียบฝึ กเขียนตัวอักษรตามความชื่นชอบของ
ตัวเอง หรือจะเป็ นการฝึ กเขียนตัวอักษรทางการเพื่อเอาไว้ใช ้สอบ โดยเฉพาะ ขอแค่เป็ นกระดาษที่เคยผ่านการเขียนตัวอักษรมาก่อนก็ จะไม่ถูกทิ้งง่ายๆ จะเก็บรวบรวมเอามาไว้ในตะกร ้าไม้ไผ่ใบเล็กนี้ ด้าน นอกจะแปะกระดาษสีขาวล้อมไว้แล้วแปะกระดาษสีแดงกว้างเท่าฝ่ า มือในแนวตั้ง เขียนตัวอักษรแบบบรรจงด้วยหมึกเข้มข้นว่า “เคารพ
และถนอมตัวอักษร”
คนตระกูลใหญ่จะเอาตะกร ้าไม้ไผ่ใบนี้ไปวางไว้ข้างกระถางธูป ของศาลบรรพชน คนตระกูลเล็กก็ไม่กล้าละเลย ส่วนใหญ่จะเอาวาง ไว้ในมุมสะอาดของห้องโถง บรรจุกระดาษไว้เต็มตะกร้า รอให้ผู้เฒ่า ที่ทาหน้าที่เก็บกระดาษมาเก็บเอาไป ผู้เฒ่ามักจะสะพายตะกร ้าไม้ไผ่ ใบใหญ่ไว้บนหลัง เดินไปตามบ้านหลังต่างๆ เพื่อเก็บกระดาษ ตัวอักษรบรรจุไว้ในตะกร้าของตัวเอง แล้วก็จะแบกพวกมันไปถึงวัด เล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล สุดท้ายเขาก็เป็ นคนเผากระดาษ พวกนี้ ในวัดไม่มีเทวรูปดินปั้นตั้งบูชาเอาไว้ นอกจากควันที่ลอยกรุ่น ตอนเผากระดาษแล้ว ตลอดทั้งปีก็ไม่มีควันธูปหรือควันอย่างอื่นอีก เพียงแต่ว่าบนผนังทางด้านทิศเหนือได้แขวนแกนม้วนภาพที่มีเพียง ตัวอักษรอย่างเดียวเอาไว้ เขียนเป็ นค าว่า “ต าแหน่ งเทพของ จักรพรรดิเหวินชาง
เด็กหนุ่มเดินตามผู้เฒ่าสะพายตะกร ้าไม้ไผ่มาถึงวัดเล็ก ผู้เฒ่าที่ นั่งยองเผากระดาษอยู่หน้าวัดยิ้มถามเข้าประเด็นว่า “ตัวตนในตอนนี้ สหายอวี๋คุ้นชินหรือไม่?”
อวี๋สืออู้ชอบบอกว่าจานวนครั้งที่ตัวเองลงจากภูเขาไม่มาก คราว นี้ก็น่าจะเต็มอิ่มแล้ว กระมัง?
อวี๋สืออู้ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าลบเลือนความทรงจ าของ ข้าได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มสง่างาม “ในเมื่อพวกเราสามารถเขียนตัวอักษรลง บนกระดาษได้ ก็ย่อมต้องลบตัวอักษรและภาพวาดออกจากบน กระดาษได้เช่นกัน”
อวี๋สืออู้ถามเสียงหนักจริงจัง “วางแผนทุกก้าวย่างอย่างรอบคอบ รัดกุมเช่นนี้ เจ้าต้องการอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อ่านตาราเล่มเก่าซ้ามีนัยมากมายชวนให้ขบ คิด หนทางแห่งธรรมของข้าจะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต้องลงมือปฏิบัติจริง”
นอกศาลบรรพชน เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีใช้สถานะของผู้ฝึก กระบี่รับมือกับศัตรู หม่าขู่เสวียนก็เอ่ยคล้ายจะเสียดายว่า “วิชาหมัด ตามความหมายทั่วไปของบนโลก ข้าได้เรียนรู้มาบ้างเล็กน้อย แต่ เมื่อเทียบกับเจ้าและเฉาสือแล้วก็ถือว่าไม่เป็ นโล้เป็ นพายอะไร ถ้า อย่างนั้นข้าก็ต้องพักไว้ก่อนแล้ว”
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ศึกที่สุสานเทพเซียนของบ้านเกิด เด็กหนุ่มสองคนก็ใช้หมัดเท้าปะทะหมัดเท้า
“หลายๆ ครั้งก็อิจฉาผู้ฝึกกระบี่อย่างเจ้าจริงๆ ดังนั้นหลายปีมานี้ ข้าจึงทุ่มเทก าลังไปไม่น้อยในการตามหาเส้นทางของผู้ฝึ กกระบี่ที่
เป็ น “เส้นทางที่ถูกต้อง” ช่วยไม่ได้ หาไม่เจอก็คือหาไม่เจอ ต่อให้ ถอยมาเลือกอันดับรอง แอบเปิดตาราลับโบราณหลายเล่มที่ถูกสั่ง ห้ามไปแล้ว พยายามจะหาทางลัดในการฝึ กตนที่คล้ายกับการสืบ ทอดต าแหน่งขุนนางโดยอาศัยบารมีบรรพบุรุษในวงการขุนนาง ผล ก็คือยังไม่สาเร็จอยู่ดี หากจะบอกว่าให้ข้าไปซื้อกระบี่จ าลองจาก ภูเขาชังกระบี่ของอุตรกุรุทวีปมาสวมรอยเป็ นผู้ฝึกกระบี่ ข้าก็ทาไม่ลง ไม่มีหน้าจะทาเรื่องพวกนี้”
เพราะถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็มีแค่ผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เท่านั้นที่กล้าพูดว่าเจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินแล้วสามารถ ลงสนามรบต่อสู้ได้อย่างไม่ขลาดกลัว
อันที่จริงการที่ผู้ฝึกกระบี่ถูกมองเป็ นผู้นาของสี่ผีใหญ่ตอแยยาก บนภูเขาก็เป็ นเพราะในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ห้าขอบเขตล่าง พลังใน การต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่จะก่อรูปได้เร็วเกินไป ไร ้เหตุผลเกินไป พูดถึง แค่วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มหนึ่งที่เหมือนได้รับ บัญชาจากสวรรค์ก็ท าให้ผู้ฝึกลมปราณปวดหัวได้มากแล้ว เพราะถึง อย่างไรผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างก็ยังมีเรือนกายที่อ่อนแอ เวท คาถามากมายที่มีติดกายยังไม่ถูกฝึกปรือจนเข้าขั้นชานาญ เมื่อต้อง รับมือกับผู้ฝึกกระบี่แล้วผูกปมแค้นต่อกันขึ้นมา ไม่ต้องคิดอะไรให้ มากมาย เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา สวบทีเดียวก็ตัดสินสูง ต่า ตัดสินเป็ นตายกันได้ทันที ไหนเลยจะยังมีเหตุผลอะไรให้กล่าวถึง อีก?
ในฐานะคนร่วมบ้านเกิดและคนวัยเดียวกัน นับตั้งแต่ที่สองฝ่ าย ได้รู ้จักกันก็ดูเหมือนว่าหม่าขู่เสวียนจะมีนิสัยประหลาดเช่นนี้ พอต้อง ต่อสู้เขาจะต้องพูดมากเหมือนผีขี้เหล้าคนหนึ่งที่พอดื่มเหล้าเมาแล้ว จะต้องพูดความในใจออกมา?
ก่อนหน้านี้ประมือกันไปสองครั้ง หม่าขู่เสวียนคิดว่าตัวเอง สามารถคว้าชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง ดังนั้นจึงมีท่าทางเยือกเย็นไม่ สะทกสะท้าน แต่ว่าครั้งนี้นี่มันอย่างไรกัน? เป็ นการเอ่ยคาสั่งเสียก่อน ตาย ฝากฝังเรื่องที่ต้องจัดการหลังเขาตายไป หากไม่พูดจะรู ้สึกอัด อั้นในใจอย่างนั้นหรือ?


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!