เรื่องนี้ไม่มีบันทึกไว้ในตำราหรือคัมภีร์ลับใดๆ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีคำว่าสำนักนำหน้าก็ยังเก็บไว้เป็นความลับอย่างแน่นหนา
เนื่องจากผู้เฒ่าแซ่ลู่เกิดในตระกูลใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมายาวนานนับพันปีตระกูลลำดับต้นๆ ของใต้หล้า คือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์แห่งทวีปใหญ่ อีกทั้งยังเคยถูกคนในตระกูลฝากความหวังด้านการฝึกตนเอาไว้ถึงสามารถรวบรวมถ้อยคำกระจัดกระจายจากบทสนทนาของเหล่าผู้อาวุโสแล้วพอจะเอามาปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวภายในได้บางส่วน ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะอยู่ห่างจากความเป็นจริงไม่ไกลนัก
ขอบเขตบินทะยานของห้าขอบเขตกลางถือเป็นขั้นสูงสุดของ “ใต้หล้า” นี้แล้ว ก็เหมือนกับขอบเขตที่สิบของผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ก็ถือเป็นขอบเขตปลายทางอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน เบื้องหน้าไม่มีเส้นทางให้เดินต่อไปได้อีก อีกทั้งหากเลื่อนมาถึงขอบเขตนี้ก็จะถูกมรรคาสวรรค์ที่มองไม่เห็นสัมผัสถึง จากนั้นก็จะถูกตัดสินให้เป็นมหาโจรที่แอบขโมยรากฐานของฟ้าดิน ต้องกำจัดทิ้งโดยไว ไม่อาจเหลือพื้นที่ให้นักพรตขอบเขตนี้หยัดยืนอยู่ได้เด็ดขาด เพราะเมื่อเทียบกับเหล่าอริยะเทพเซียนในสายตามนุษย์ธรรมดา เทียบกับนักพรตขอบเขตสิบทั้งหลายแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตนี้จะยิ่งเร้นกายเงียบเชียบไม่ปรากฎตัวง่ายๆ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องถูกบีบให้ต้องบินทะยาน
ส่วนเรื่องที่ว่าจะบินทะยานไปถึงที่ใด เรือนกายที่มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณอยู่ในสภาพไหนนั้น ผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน เขาแค่คาดเดาเอาเองว่าอาจจะต้องเกี่ยวข้องกับมรรคาเทพที่พังทลายไปนานแล้วก็เป็นได้
ฮ่องเต้ต้าหลีก้มหน้าเล็กน้อย มองดวงหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังมีความเยาว์วัยหลงเหลืออยู่แล้วถามกลับ “ถ้าหาก?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ใช่!”
ฮ่องเต้ต้าหลีดึงสายตากลับคืนมา เอ่ยยิ้มๆ “ถ้าหากปากอีกา (เปรียบเปรยว่าปากเสีย ปากไม่เป็นมงคล) น้อยของเจ้าพูดถูก นั่นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืดอย่างไม่คิดจะเก็บอาการ เด็กหนุ่มไม่คิดจะเชื่อคำพูดของชายสวมชุดคลุมมังกรเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้บุรุษผู้นี้จะเป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลีที่กว้างใหญ่ คือกษัตริย์ของราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังถูกคนนับไม่ถ้วนมองเป็นผู้มีใจทะเยอทะยานหวังจะควบรวมพื้นที่ทางตอนใต้ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มได้เหยียบขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว เดิมทีผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ข้างกายก็เป็นผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดของใต้หล้าอยู่แล้ว ทำให้ตนก็พลอยได้โอกาสตามน้ำตามลมคว้าเอาโชควาสนายิ่งใหญ่จากหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้มาครอง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงยิ่งรู้ดีว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสามท่านหนึ่งมีพลังคุกคามต่อหนึ่งสำนักหนึ่งประเทศชายมหาศาลแค่ไหน
ฮ่องเต้ต้าหลียังคงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่อ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา “ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิมาได้ทุกยุคทุกสมัยก็เพราะอาศัยคำว่าถ้าหากนี้ ถึงได้ค่อยๆ เดินทีละก้าวเปลี่ยนจากประเทศเล็กๆ ที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลูในอดีตจนมีวันนี้ ไม่เพียงแต่เขมือบกลืนราชวงศ์สกุลหลู อีกไม่นานก็จะกรีฑาทัพไปบุกต้าสุย ซึ่งก็โอกาสที่จะชนะมีสูงมาก และหลังจากนั้นเมื่อไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังก็จะสามารถบุกลงใต้ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งอนาคตที่รออยู่เบื้องหน้ายังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องงดงามเป็นมหามงคล ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมีอคติกับคำว่าถ้าหากนี้มาก่อน ข้ายังถึงขั้นบอกกับตัวเองมาโดยตลอดว่า จักรพรรดิผู้มีคุณสมบัติที่จะถูกขนานนามให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าบนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้อ่านอย่างแท้จริงนั้น คือผู้ที่สามารถบดขยี้คำว่าถ้าหากที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายศัตรูให้แหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถแบกรับคำว่าถ้าหากนี้เอาไว้ได้”
สีหน้าของบุรุษยังคงผ่อนคลายใจเย็น “ซ่งมู่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นบุคลิกลักษณะที่ผู้พิชิตแห่งหนึ่งดินแดน กษัตริย์แห่งหนึ่งแคว้นพึงมี”
สุดท้ายบุรุษเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลักการพวกนี้ ซ่งอวี้จางควรจะสั่งสอนเจ้าตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าพอก็เท่านั้น”
สีหน้าของเด็กหนุ่มดำทะมึน
บุรุษไม่สนใจปมเล็กน้อยในใจของเด็กหนุ่ม เขาเพียงแหงนหน้ามองท้องฟ้า “ป๋ายอวี้จิงบนชั้นฟ้า สิบสองชั้นห้านคร อยากรู้จริงๆ ว่าป๋ายอวี้จิงที่แท้จริงบนท้องฟ้านั่นจะโอ่อ่าใหญ่โตถึงเพียงใด”
บุรุษงอนิ้วเคาะลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ หนึ่งที เด็กหนุ่มหลบไม่ทันจึงรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่บุรุษกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจสักนิดว่ายังมีคนนอกอีกสองคนอยู่ด้วย “มารดาเจ้าเห็นดีเห็นงามกับน้องชายเจ้า แต่ข้าเห็นดีกับเจ้ามากว่า ขนาดพยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง พิษร้ายสุดคือจิตใจของสตรีจริงๆ”
บุรุษพูดกับตัวเองด้วยความเศร้าเสียใจเล็กน้อย “ม่วงชั่วร้ายแทนสีชาด” (เปรียบเปรยว่าความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่ความชอบธรรม ใช้วิธีผิดๆ แล้วคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
แต่จากนั้นบุรุษก็พลันคลี่ยิ้ม “อาจารย์ฉีผู้นั้น ข้าละอายใจต่อเขานัก เป็นต้าหลีที่ผิดต่อเขา แต่การที่เจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของเขาช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก”
เด็กหนุ่มอดทนข่มกลั้นมานาน สุดท้ายก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นคนละเรื่องกับบทสนทนาออกมา “ท่านเป็นฮ่องเต้ต้าหลี ทำไมถึงไม่เรียกแทนตัวเองว่ากว่าเหริน?” (กว่าเหรินคือคำแทนตัวกษัตริย์ในสมัยโบราณ)
บุรุษวางฝ่ามือบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “ต้าหลีถูกมองเป็นพื้นที่ป่าเถื่อนมาเกือบหนึ่งพันปี ข้าจึงหวังว่าจะใช้สิ่งนี้มาย้ำเตือนตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่าลืมความอัปยศครั้งใหญ่นี้!”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง
บุรุษหดมือกลับแล้วหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “หลอกเจ้าเล่นหรอกน่า ข้าก็แค่รังเกียจที่คำว่ากว่าเหรินฟังดูไม่เป็นมงคลนัก” (กว่าหมายถึงน้อย ขาดแคลน หรือหมายถึงหญิงหม้ายสามีตาย)
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพลันส่งเสียง “มาแล้ว!”
บุรุษเอ่ยถาม “เผชิญกับการล้อมโจมตี ไม่หนีไป แต่กลับบุกมาสังหารถึงที่นี่?”
จิตใจผู้เฒ่าสะท้านไหวอย่างรุนแรง เบิกตากว้างมองไปทางฝั่งทิศใต้ของหน้าต่าง เอ่ยเสียงสั่น “ขอบเขตสิบ ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตสิบสอง! คือขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบสองแล้ว!”
บุรุษสีหน้าเรียบเฉย หันไปเอ่ยสั่งเด็กหนุ่ม “ซ่งมู่ ได้เวลาที่เจ้าต้องลงมือแล้ว”
ซ่งจี๋ซินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หมุนตัวหันหน้าไปทางทิศใต้ มือทั้งคู่ทำมุทรา กัดฟันพูดว่า “ข้าซ่งมู่! รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ต้าหลี ขอสั่งให้เทพทั้งสิบสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาแห่งแผ่นดินจงรับกระบี่!”
ลมแรงพัดโหมขึ้นในเมืองหลวงต้าหลี ก้อนเมฆพุ่งเข้ามารวมตัวกันดำทะมึน หอสูงแห่งนี้พลันมีปราณกระบี่พุ่งทะยานเสียดฟ้า
กระบี่เล่มที่อยู่ในชั้นล่างสุดพุ่งแหวกอากาศออกไปก่อนดุจสายฟ้าแลบปลาบ คนจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงต้าหลีเงยหน้ามองสายฟ้าเส้นที่แขวนอยู่เหนือหัวด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ครู่ต่อมาก็เป็นกระบี่บินของชั้นที่สอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!