หลวนจวี้จื่อส่ายหน้ายิ้ม “ไม่เคย หากข้าไม่พูดแบบนี้ สวรรค์เท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าอาเหลียงนิสัยประหลาดผู้นั้นจะฟันพวกเราให้ตายทุกคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือไม่”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงอึ้งตะลึง แล้วกล่าวอย่างคลางแคลงใจ “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง?”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะเสียงดังกังวาน “แน่นอนว่าข้าล้อเล่น อาเหลียงน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่คำพูดหลังจากนั้นของข้าไม่ได้หลอกอาเหลียงจริงๆ แรงกายและสติปัญญาของฉีจิ้งชุนล้วนอยู่ที่ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราอย่างแท้จริง อีกทั้งยังฝากความหวังไว้ให้กับต้าหลีและแจกันสมบัติทวีปด้วย ข้อนี้ข้าเชื่อว่าในใจอาเหลียงย่อมรู้ดี หาไม่แล้วฉีจิ้งชุนก็คงไม่สร้างสำนักศึกษาซานหยาขึ้นที่นี่ ตัวอยู่ต้าหลี แต่กลับสอนสั่งบัณฑิตทุกคนของแจกันสมบัติทวีป พวกบัณฑิตที่เดินออกไปจากสำนักศึกษาซานหยา ส่วนใหญ่ล้วนแก่ตายกันไปหมดแล้ว คนบางส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่ การถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจที่เมล็ดพันธ์ปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้มีต่อเมล็ดพันธ์ปัญญาชนรุ่นต่อไปล้วนถือเป็นการแบกรับความหวังของฉีจิ้งชุนเอาไว้”
หลวนจวี้จื่อหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วถามว่า “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าความตายของฉีจิ้งชุนจะไม่ทำให้บัณฑิตพวกนี้เคียดแค้นบ้างเลย?”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงเงียบงัน สุดท้ายถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ต้าหลีก็ได้แต่เปรียบเทียบอันตรายสองสิ่งแล้วเลือกสิ่งที่ส่งผลร้ายน้อยกว่า”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะร่า สำหรับเรื่องนี้เขาเพียงแค่เอ่ยถึงผิวเผินเหมือนกบกระโดดผ่านผิวน้ำ แล้วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อใหม่ทันที “ตามความเห็นของข้า มรสุมที่ทำให้ทั้งเจ้าและข้าบาดเจ็บสาหัสลึกถึงกระดูกครั้งนี้ แท้จริงแล้วต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่การล้อมโจมตีอาเหลียงเพราะต้าหลีของเราคิดจะฉวยโอกาสนี้สำแดงบารมี ด้วยตบะและขอบเขตของอาเหลียง รวมไปถึงนิสัยใจคอจากการที่เขาท่องไปในแต่ละยุทธภพของแต่ละทวีป เขาไม่มีทางถือสา ‘เรื่องเล็กน้อย’ นี้แน่นอน”
“อาเหลียงคิดอย่างไร ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงถอนหายใจ “แต่ว่า คำพูดในใจที่เจ้าไม่ได้เอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าจะเป็นคนพูดแทนให้เองก็แล้วกัน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ปมในใจของคนผู้นั้นก็คือฉีจิ้งชุน ในครานั้นที่ต้าหลีต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสี่ด้านแปดทิศ ไม่ได้เลือกหยัดยืนออกมาพูดทวงความยุติธรรมให้แก่ฉีจิ้งชุน บวกกับที่พอฉีจิ้งชุนจากไป สำนักศึกษาซานหยาก็ล้มเลิกกิจการ คนจากลาชาเย็นชืดเร็วเกินไป อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ แต่เจ้าและข้าล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ ลำพังแค่สำหรับฮ่องเต้ต้าหลีแล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ฉลาดที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นกษัตริย์คนอื่น ข้าคาดว่าแม้แต่ใจแห่งความละอายก็คงไม่มี มีแต่จะนึกว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว”
“จะว่าไปแล้วหากลองคิดในมุมกลับกัน พวกเราสองคนและต้าหลีที่เป็นฝ่ายระดมกำลังมากมายมาหาเรื่องเขาในครั้งนี้ ในสายตาของอาเหลียงจะเหมือนเห็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างที่ยืนโอ้อวดตนอยู่ตรงนั้น เต้นเหยงๆ ว่าจะขอสู้ให้ตายกันไปข้างหรือไม่? อีกอย่างเจ้าเด็กน้อยนี่ยังทำท่ามั่นอกมั่นใจว่าตัวเองจะต้องชนะเสียด้วย”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงยกมือขยับชายแขนเสื้อ เปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย ยิ้มฝืดเฝื่อน “พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวน่าขันนักนะ”
หลวนจวี้จื่อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หากวันหนึ่งมีใครที่เหมือนกับพวกเรา อืม ก็คือคนนอกเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมีฐานะ หากพวกเขาพูดถึงเรื่องบางอย่างที่พวกเราสองคนเคยทำ แล้วรู้สึกอึ้งทึ่ง เต็มใจที่จะเอ่ยสรรเสริญ แค่นั้นก็ดีแล้ว”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงทอดถอนใจ “หากก่อนหน้านี้สามารถสร้างหอป๋ายอวี้จิงได้ถึงสิบสามชั้นก็อาจจะยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับยากแล้ว”
หลวนจวี้จื่อเองก็ปลงอนิจจัง “ไม่รู้ว่าในบรรดาเด็กรุ่นนี้ของต้าหลี ในอนาคตใครที่จะประสบความสำเร็จได้โดดเด่นที่สุด”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงยิ้มบางๆ “ข้าลงเดิมพันกับซ่งมู่ เจ้าล่ะ?”
หลวนจวี้จื่อยิ้มตาหยี พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง “ข้าเดิมพันแม่หนูหวังจูนั่น เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าที่มาจากสกุลหลูสำนักหยินหยางส่ายหน้ายิ้ม “หนึ่งต้นสามารถงดงามได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ แต่ยากนักจะกลายเป็นผืนป่า”
หลวนจวี้จื่อเองก็ส่ายหน้า ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “ตอนที่ฉีจิ้งชุนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้ยังรับศิษย์ไว้อีกบางส่วนหรือ? ยกตัวอย่างเช่นจ้าวเหยาผู้นั้น? นอกจากนี้ก็ดูเหมือนว่าสำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีปจะเคยแย่งตัวเด็กคนหนึ่งที่แซ่หม่าไปด้วย”
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงน้ำเสียงเรียบเฉย “คอยดูกันไปเถอะ หวังเพียงว่าตาแก่อย่าเราสองคนจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันที่กลียุคปิดฉากลง”
……
สาวใช้จื้อกุยอยู่ในชั้นที่สิบของหอป๋ายอวี้จิงตลอดเวลา ไม่เคยเดินออกไปจากที่นี่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!