กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 117

ในโลกมนุษย์มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่คนหนึ่ง (ท้าย)
โดย
ProjectZyphon
เดิมทีฮ่องเต้ต้าหลีหวังจะอาศัยเรื่องที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมาแหวกกฎเลื่อนขั้นเขาพีอวิ๋นที่เปี่ยมล้นไปด้วยโชคชะตาให้กลายเป็นขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี!

แต่กลับเกิดสถานการณ์ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนอย่างหนึ่งขึ้นเสียก่อน เพราะขุนเขาทั้งห้าลูกของต้าหลีในทุกวันนี้ตั้งอยู่ทิศเหนือของเขาพีอวิ๋น

แม้ว่าตอนนั้นจะไม่มีเทพภูเขาของขุนเขาใดเสนอความคิดเห็น แต่ตำแหน่งที่เทพภูเขาและเทพแม่น้ำเหล่านี้อยู่ในเวลานี้ก็เหมือน “กึ่งกลางภูเขา” ที่กั้นกลางระหว่างตระกูลเซียนกับแม่น้ำของต้าหลี เหมือนหน้าด่านสำคัญที่เป็นกันชนสำหรับประเทศหนึ่ง ภายในค่ำคืนเดียวก็เกิดคลื่นใต้น้ำไหลบ่า คนในสำนักมากมายแสร้งปลอมตัวเป็นชายหญิงผู้มีจิตศรัทธา เป็นผู้แสวงบุญทั่วไป หรือไม่ก็ปัญญาชนผู้สุภาพสง่างามที่พากันแวะมาเยี่ยมเยือนขุนเขาทั้งห้า ไม่พูดถึงเรื่องใหญ่อย่างการจุดธูปบูชา พูดเพียงเรื่องสายลมบุปผาเหมันต์จันทรา (เปรียบเปรยถึงเรื่องที่ฟังดูงดงามแต่ไม่มีแก่นสาระสำคัญ) และเทพภูเขาเทพแม่น้ำระดับต่ำกว่าที่อยู่รอบห้าขุนเขาก็พากันเงียบงันโดยไม่ได้นัดหมาย

สุดท้ายไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดฮ่องเต้ต้าหลี ชายผู้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องสำคัญบางเรื่องเพียงลำพังกลับเปลี่ยนใจกะทันหัน ล้มเลิกการตัดสินใจเรื่องสำคัญใหญ่หลวงที่เกี่ยวกับโชคชะตาและอนาคตของบ้านเมืองเรื่องนี้

แต่เรื่องที่บังเอิญมากกลับเกิดขึ้น มีคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ใจกล้าถึงขนาดสังหารนักรบเดนตายระดับปรมาจารย์สองคนปรากฎตัวขึ้นในต้าหลี

ด้วยนิสัยเด็ดขาดรวดเร็วของฮ่องเต้ต้าหลีจึงมีการไล่ล่าล้อมสังหารครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้น เพราะเกี่ยวพันกับการกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลี จึงต้องตัดสินใจว่าในอนาคตที่ต้าหลีบุกลงใต้จะสามารถมีคนตายได้น้อยลงกี่คน หาไม่แล้วด้วยภาพลักษณ์ป่าเถื่อนของราชวงศ์ต้าหลีในสายตาคนทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีป กองทัพม้าเหล็กของพวกเขาที่บุกทะยานไหลหลั่งลงใต้ย่อมต้องมีบุคคลที่เป็นดั่งเสาเอกพากันปรากฎตัว และด้วยเหตุผลนานัปการ พวกเทพเซียนบนภูเขาที่สายตามองสูงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาก็ต้องมาทดลองกับตัวเองว่าดาบของต้าหลีไวแค่ไหน กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีแข็งแกร่งเท่าไหร่ มีคุณสมบัติที่จะนั่งทัดเทียมกับพวกเขาได้จริงหรือไม่

แน่นอนว่าต้าหลีเองก็มีกองกำลังตระกูลเซียนเป็นของตัวเอง อีกทั้งผู้ที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลซ่งอย่างเปิดเผยก็มีไม่น้อย และในทางลับๆ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็ยังคงไม่อาจขัดขวางพวกผู้ฝึกตนที่ทำตัวเป็นดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟได้ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้ฝึกลมปราณหนังหนาอีกทั้งร่องรอยยังลึกลับที่จงใจเลือกฆ่าทหารธรรมดาของต้าหลีอย่างพร่ำเพื่อ เดี๋ยวก็โผล่ทางนี้เดี๋ยวก็โผล่ทางโน้น ที่สำคัญคือพอฆ่าคนเสร็จแล้วยังเผ่นหนีอย่างว่องไว ราชสำนักต้าหลีควรจะทำอย่างไร?

ดังนั้นหอกระบี่ป๋ายอวี้จิงจึงถือกำเนิดขึ้นและค่อยๆ เปิดเผยสู่สายตาผู้คนทีละนิด ซึ่งพวกคนที่รู้ความลับใหญ่เทียมฟ้านี้ก่อนใครก็คือเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งสิบสองท่าน นี่คือกลุ่ม “คนกันเอง” ที่อยู่นอกเมืองหลวงของต้าหลี

หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะยกเขาพีอวิ๋นให้เป็นขุนเขาเหนือแล้วถอดถอนตำแหน่งฐานะเดิมทั้งหมดของห้าขุนเขา ต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีจะพูดอะไรที่เป็นนัยแก่เทพภูเขาทั้งห้าอย่างลับๆ หรือให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะที่แตกต่างกันออกไป ก็ยังต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะรื้อสะพานทิ้งหลังข้ามแม่น้ำอยู่ดี การที่เทพภูเขาทั้งห้าเงียบงันไม่เสนอความเห็นจึงค่อนข้างสมเหตุสมผลดีแล้ว เพราะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับควันธูปร่างทองและรากฐานแห่งมหามรรคาของตน ใครเล่าจะยอมเชื่อถ้อยคำจากปากเปล่าหรืออักษรบนกระดาษง่ายๆ?

ดังนั้นการลงมือร่วมกันสังหารศัตรูจึงกลายมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม เดิมทีทั้งสิบสองท่านก็มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านอยู่กับโชคชะตาของต้าหลีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่พวกเขาจะปฏิเสธได้เลย

อันที่จริงก่อนหน้าที่จะได้ประมือกับมือดาบต่างถิ่นผู้นั้นอย่างแท้จริง เรื่องทั้งหมดนี้ก็ไม่มีความผิดปกติตรงไหน

เกรงว่าแม้แต่ร่างจริงที่ทิ้งไว้ในภูเขาและแม่น้ำของเทพหกองค์ที่กายธรรมสูญเสียพลังต้นกำเนิดมหาศาลก็ยังไม่รู้สึกว่ามีปัญหาใดๆ เพราะตอนนั้นในพระราชโองการลับที่ฮ่องเต้ต้าหลีมอบให้พวกเขาก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ให้สังหารนักพรตขอบเขตสิบ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นขอบเขตสิบเอ็ด แค่นี้เท่านั้น

ต่อให้หลังจากได้ประมือกันแล้วก็ยังเป็นเช่นเดิม

แม้ว่าจุดจบสุดท้ายจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ราชวงศ์ต้าหลีนับจากตัวฮ่องเต้เองไปจนถึงผู้สร้างหอป๋ายอวี้จิง มาจนถึงเทพภูเขาและเทพแม่น้ำทั้งหกท่านต่างก็เป็นเหมือนผู้พ่ายแพ้ทั้งหมด ทว่าก็เป็นเพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้รวมฮ่องเต้ต้าหลีเข้าไว้ด้วย จึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าศัตรูผู้นี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ว่ามาถึงท้ายที่สุด รอจนความจริงเปิดเผยแก่สายตาผู้คน เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตาว่าถึงแม้ต้าหลีจะพ่ายแพ้ แต่ก็แพ้อย่างสมเกียรติ

ทว่าชุยฉานที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองในเวลานี้กลับยังรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย

เพราะท่ามกลางการเสียเปรียบ ฮ่องเต้ต้าหลีผู้นั้นได้บรรลุเป้าหมายที่เขาต้องการแล้วส่วนหนึ่ง

ในบรรดาองค์เทพทั้งห้าของห้าขุนเขา มีเพียงองค์เทพแห่งขุนเขากลางที่แต่ไหนแต่ไรมาซื่อสัตย์ยอมตายเพื่อสกุลซ่งต้าหลี และเทพขุนเขาเหนือที่ก่อนหน้านี้ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากถึงที่สุดเท่านั้นที่ทั้งกายธรรมและร่างจริงต่างก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ อีกสามท่านที่เหลือต่างก็พ่ายแพ้หมดท่า ตบะลดฮวบจนแทบจะกลายมาเป็นเพียงเทพภูเขาทั่วไป ได้แต่มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ สูญเสียความมั่นใจและพลังใจในการงัดข้อกับฮ่องเต้ต้าหลีเรื่องที่จะเปลี่ยนชื่อและสมญานามของขุนเขา

จุดที่ลุ่มลึกและน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริงยังไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่ว่าในอดีตมีครั้งหนึ่งที่ชุยฉานเล่นหมากล้อมพลางพูดคุยกับฮ่องเต้ต้าหลีอย่างผ่อนคลาย หลังจากถูกถามคำถาม ราชครูต้าหลีที่พูดจาได้อย่างมีอิสระมาโดยตลอดจึงพูดถึงข้อพึงปฏิบัติบางอย่างออกมา หนึ่งในนั้นเขากล่าวถึงการที่กษัตริย์ใช้ขุนนาง บางครั้งไม่สู้ลองใช้งานคนที่เคยทำผิดพลาดมาก่อน คนที่เคยถูกลงโทษมาก่อน ซ้ำยังถึงขั้นให้ความสำคัญได้ เพราะคนที่เคยได้รับความเจ็บปวดมาก่อนย่อมมีความจำดี จึงเชื่อฟังมากเป็นพิเศษ

ดังนั้นในบรรดาห้าขุนเขา นอกจากเทพของขุนเขากลางที่ไม่พูดถึงแล้ว ขุนเขาอื่นๆ อีกสี่ขุนเขาอย่างออกตกเหนือใต้ ขอแค่มีวันใดที่พวกเขาขบความนัยที่ซ่อนอยู่ในโศกนาฎกรรมครั้งนี้ได้แตก ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาเริ่มเคียดแค้นในตัวฮ่องเต้ต้าหลี มีเพียงอดีตเทพขุนเขาเหนือที่ช่วงแรกเริ่มสุดเคยทำพลาดยืนอยู่ผิดฝ่ายเท่านั้นที่มีแต่จะเกิดความหวาดกลัวยิ่งกว่าใคร

หากเป็นก่อนหน้าวันนี้ ชุยฉานอาจจะยังยินดีอธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้นางฟัง แต่มาถึงตอนนี้ เขาไม่คิดจะเผชิญหายนะไปพร้อมกับนางแล้ว

เรื่องโสมมบางอย่างที่สตรีผู้นี้ทำลงไป เขาชุยฉานยอมรับได้ เพราะอย่างไรซะเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับตน ยิ่งพันธมิตรเป็นพวกจิตใจอำมหิตมากเท่าไหร่ ศัตรูของตนก็ยิ่งยากลำบากมากเท่านั้น ชุยฉานยังไม่โง่ถึงขั้นจะโน้มน้าวพันธมิตรคนนี้ว่าเจ้าต้องมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ ชุยฉานสามารถเดินมาได้จนถึงทุกวันนี้ย่อมไม่ได้มีใจเมตตากรุณาเป็นแน่ ทว่าสำหรับฮ่องเต้องค์นั้น สมมติว่าการล้อมไล่ล่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จ บางทีเขาก็อาจจะแค่เคาะตีเพื่อเป็นการตักเตือนเท่านั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว

เหนียงเนียงที่ไม่ใช่สตรีใจอ่อนแม้แต่น้อยผู้นี้ให้แม่ทัพสกุลหลูที่ยอมศิโรราบต่อนางเด็ดหัวของซ่งอวี้จาง อีกทั้งยังแอบเก็บเอาไว้ในกล่องไม้เตรียมไว้ใช้ในเวลาจำเป็น

ใช้เล่นงานใคร? แน่นอนว่าต้องเป็นซ่งมู่บุตรชายของนาง หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือซ่งจี๋ซินที่เติบโตขึ้นมาในตรอกหนีผิง

ซ่งอวี้จางสมควรตายอย่างแท้จริง การสร้างสะพานแบบคานของเขาเกี่ยวพันไปถึงเรื่องน่าอายอย่างใหญ่หลวงของเชื้อพระวงศ์สกุลซ่ง หากจะบอกว่าทำความดีลบล้างความผิด สำหรับเรื่องนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น หลังจากซ่งอวี้จางกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้ดำรงตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก้นยังนั่งบนเก้าอี้ไม่ทันร้อนก็ถูกฮ่องเต้สั่งให้ไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูอีกครั้ง ภายนอกบอกว่าที่ให้เขาไปเพราะคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมของท้องถิ่นดีกว่าคนอื่นๆ จึงสะดวกต่อการแต่งตั้งเทพภูเขาและเทพแม่น้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วซ่งอวี้จางรู้ดีอยู่แก่ใจว่านี่คือการมอบวิธีตายที่ค่อนข้างให้เกียรติแก่เขา ไม่ได้ปล่อยให้ตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในจวนที่ว่าการของเมืองหลวง ยิ่งไม่ให้โยนโทษประหารให้อย่างส่งเดช

และซ่งอวี้จางก็ยังคงเดินเข้าหาความตายอย่างเด็ดเดี่ยว

ต่อให้เป็นชุยฉานที่อยู่ในฐานะราชครูของต้าหลี ต่อให้รู้สึกว่าซ่งอวี้จางคือคนโง่เต็มร้อยแบบไม่มีหักไม่มีลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาค่อนข้างจะนับถือมาดขุนนางผู้เที่ยงธรรมของหนอนหนังสือผู้นี้อยู่มาก

โดยส่วนตัวชุยฉานคิดว่าการอยู่ในราชสำนักของราชวงศ์หนึ่งจำเป็นต้องมีของสองอย่าง หินรองเท้าที่ไม่สะดุดตา และเสาคานที่ค้ำยันตำหนักใหญ่ จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้

ซ่งอวี้จางถือเป็นข้อแรก

เขาราชครูชุยฉาน ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้น และพวกขุนนางหลักของหกกรมล้วนถือเป็นฝ่ายหลัง

แต่สตรีผู้นี้ถึงขั้น “เก็บ” ศีรษะของคนผู้นั้นเอาไว้ เป็นการกระทำที่ล้ำเส้นของฮ่องเต้เป็นครั้งแรก

ดังนั้นจึงมีเรื่องที่แม่ทัพใหญ่ผู้รู้ใจนามว่าหยางฮวาถูกบีบให้ดำรงตำแหน่งเทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูเกิดขึ้น อันที่จริงถึงแม้ว่านางกำนัลผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง แต่หากเป็นสถานการณ์ปกติย่อมไม่มีทางขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างฉุกละหุกแบบนี้แน่นอน และด้วยความปรีชาสามารถและความประหยัดมัธยัสถ์ของฮ่องเต้ต้าหลีก็ย่อมต้องใช้ประโยชน์จากพลังแฝงของนางให้ได้ดียิ่งกว่านี้

เหนียงเนียงผู้นี้ยังคงแข็งใจใช้อุบายทั้งหมดที่มีผลักให้ซ่งจี๋ซินกลายเป็นเจ้าของหอป๋ายอวี้จิง ได้รับการยอมรับจากกระบี่บินทั้งสิบสองเล่มโดยการค่อยๆ เดินผ่านไปทีละชั้น ทีละชั้น

มองดูเหมือนเป็นการชดเชยที่มารดามีต่อบุตรชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปหลายปี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ซ่งเหอต่างหากถึงจะเป็นคนที่นางมองว่าเป็นก้อนเนื้อที่มาจากความหวังของตัวเอง เป็นคนที่นางฝากความหวังไว้ให้อย่างแท้จริง เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็อยู่ด้วยกันมา มองเห็นบุตรคนนี้เติบโตทีละน้อย ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้ถูกใจสมปรารถนาของนางไปเสียหมด กับบุตรอีกคนหนึ่งที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูอันห่างไกล ล้มลุกคลุมคลานอยู่ในตรอกเก่าโทรมที่เต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่ ในอดีตเมื่อนานมาแล้วนางเคยพยายามแอบอ่านเอกสารลับฉบับนั้นของฮ่องเต้มาก่อน แต่กลับถูกลงโทษอย่างรุนแรง คาดว่านับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาใจเจ็บปวดที่นางมีต่อบุตรชายคนโตจึงกลายมาเป็นใจที่ด้านชา บวกกับที่ในทำเนียบตระกูลของต้าหลีเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าซ่งมู่ตายไปตั้งแต่ยังเด็ก ชื่อของเขาถูกชาดสีแดงกาทิ้ง มองดูแล้วบาดตาน่าพรั่นพรึง

ส่วนลึกๆ ในใจนางจะมีความเจ็บปวด ทรมานหรือไม่นั้น ชุยฉานไม่อาจรู้ได้ และใครก็ไม่อาจล่วงรู้

รวมไปถึงเรื่องที่ว่าทำไมนางถึงเอาซ่งมู่บุตรชายคนโตมาเป็นหินรองเท้าให้น้องชายซ่งเหอเหยียบย่ำ รายละเอียดที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและประสบการณ์ทางใจที่ไม่มีใครรู้ของนาง ชุยฉานก็ไม่มีความสนใจ

สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารู้แล้วว่าตัวเองทำผิดที่ตรงไหน แล้วเจ้าล่ะชุยฉาน รู้หรือไม่?”

ชุยฉานเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งตบลงบนกำแพงปีกกาเบาๆ พลางเอ่ยเนิบช้า “รู้สิ ข้าเปิดค่ายกลใหญ่ของเมืองหลวง เปิดประตูรับศัตรู แม้จะมาจากเจตนาที่ดี ทำให้อาเหลียงได้เห็นถึงความจริงใจและการยอมถอยให้ของต้าหลีเรา แต่ตัวข้าเองกลับต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”

สตรีแต่งงานแล้วมองราชครูด้วยสายตาเวทนา เอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ชีวิตของฝ่าบาทก็คือชีวิตของเจ้าเหนือหัว ควรหรือที่เจ้าจะเอาไปวางบนโต๊ะเดิมพันโดยพลการ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!