กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 119

ค่อนข้างมีเหตุผล
โดย
ProjectZyphon
แม่น้ำซิ่วฮวางดงามสมชื่อ ริ้วน้ำสีมรกตกระเพื่อมไหวแผ่วเบาๆ ไม่มีลมกระโชกหรือคลื่นลูกใหญ่อะไร ผิวน้ำกว้างขวางแต่กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน

เรือโดยสารที่เฉินผิงอันสี่คนโดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปทางใต้มีสองชั้น ส่วนใหญ่คนที่โดยสารล้วนเป็นปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมอาภรณ์สีเขียว พวกพ่อค้าและนักเดินทาง หลี่เป่าผิงไม่กลัวคนแปลกหน้า นางชอบสะพายหีบหนังสือใบเล็กขยับเข้าไปใกล้กลุ่มคน คอยเงี่ยหูฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน ปัญญาชนทั่วไปเมื่อเห็นแม่นางน้อยที่หน้าตาเฉลียวฉลาด อีกทั้งยังสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กเหมือนคนเดินทางไกลเพื่อไปศึกษาต่อ ยืนอยู่ห่างไม่ใกล้ไม่ไกลด้วยท่าทางสุภาพว่าง่าย คนส่วนใหญ่ก็มักจะหันมายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แล้วพูดคุยกันต่อไปอย่างไม่มีปิดบังเพราะไม่ได้เก็บเอาแม่นางน้อยมาใส่ใจ

หลี่ไหวบังคับบังเหียนอย่างระมัดระวัง ขี่ลาขาวเดินวนเป็นวงเล็กๆ อยู่บนเรือคล้ายแม่ทัพใหญ่ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราชายแดน โอหังอย่างถึงที่สุด พูดแล้วก็แปลก ลาขาวยังยอมให้หลี่ไหวขี่มันคนเดียวจริงๆ นี่ทำให้หลี่ไหวดีใจสุดขีด ส่วนเรื่องที่ว่าในอนาคตเว่ยจิ้นบนแท่นบูชาเทพเซียนของศาลลมหิมะอะไรนั่นจะต้องมาเอาลาตัวนี้ไป ถึงเวลานั้นหลี่ไหวต้องขอค่าตอบแทนจากอีกฝ่าย เรียกร้องให้มากตามที่ต้องการ เรื่องสำคัญที่แท้จริงเหล่านี้ หลี่ไหวกลับทำเหมือนลมที่พัดผ่านหูไปซะอย่างนั้น

หลินโส่วอีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นั่งลงเอาหลังพิงผนังรั้วด้านในตัวเรือ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทำไมอาเหลียงถึงบอกว่าข้าเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว? แล้วข้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันหยุดมือที่กำลังใช้มีดผ่าฝืนปาดกระบอกไม้ไผ่ให้เป็นแผ่น พูดยิ้มๆ “ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ก็เกรงใจที่จะถาม กลัวว่าเจ้าจะคิดมาก”

หลินโส่วอีค่อนข้างจะกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ในบรรดานักเรียนทั้งสามคน ขนาดคนตาบอดก็ยังมองออกว่า คนที่เฉินผิงอันให้ความสนใจอย่างแท้จริงมีแค่หลี่เป่าผิงเท่านั้น และระหว่างเขากับหลี่ไหว เฉินผิงอันก็น่าจะสนิทสนมกับหลี่ไหวมากกว่า ส่วนสาเหตุจะเป็นเพราะคนทั้งสองต่างก็เกิดและเติบโตมาในตรอกเก่าโทรมของเมืองเล็ก หรือไม่ก็เป็นเพราะตนที่พูดน้อยเกินไปหรือไม่ หลินโส่วอีก็ไม่แน่ใจนัก และอันที่จริงแล้วสำหรับเรื่องหยุมหยิมไม่มีค่าพอให้พูดถึงพวกนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่เคยให้ความสนใจอย่างแท้จริงมาก่อน

ถึงกระนั้นหลินโส่วอีก็ยังอดกลัดกลุ้มไม่ได้

หลินโส่วอีถาม “สรุปว่าเจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของน้ำเต้าน้อยสีเงินลูกนั้นหรือไม่?”

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านอย่างไม่กระโตกกระตากก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “ขนาดอาเหลียงยังบอกว่ามันคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อะไรสักอย่างที่หายากมาก แน่นอนว่าต้องล้ำค่าอย่างยิ่ง”

หลินโส่วอีกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนั้นที่เจ้าปฏิเสธจะดื่มเหล้าเพราะต้องการฝึกวิชาหมัด ทำให้ตัวเองพลาดโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนไป? การที่ข้าสามารถเดินขึ้นภูเขาได้อย่างเป็นทางการ กลายมาเป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปก็เพราะเคยดื่มเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าลูกเล็กนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ข้าดื่มเหล้าก็รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกหรือความสามารถในการมองเห็น ความสามารถในการได้ยิน แม้กระทั่งจิตใจและพละกำลังเท้า คนที่เดิมทีเหน็ดเหนื่อยที่สุดในการเดินทางไกลครั้งนี้ มาถึงท้ายที่สุดข้าถึงขั้นสามารถเดินตามทันฝีเท้าของเจ้า เจ้ามองออกหรือไม่?”

นิ้วมือของเฉินผิงอันลูบไปบนแผ่นไม้ไผ่เย็นฉ่ำตามจิตใต้สำนึก “หลังออกมาจากริมลำคลองเถี่ยฝู และขณะที่เดินเข้าไปใกล้ภูเขาฉีตุน อันที่จริงการเดินทางในช่วงหลังของเจ้าผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก”

หลินโส่วอียังคงพูดได้อย่างผ่อนคลายโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “อ้อ ที่แท้เจ้าก็มองออกมาตั้งนานแล้ว”

เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “อาเหลียงขี้เกียจมากเลยล่ะ มีความสามารถมากแต่กลับไม่ยอมสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอย่างนั้นข้าที่เป็นคนนำทางก็ต้องคอยสังเกตพละกำลังฝีเท้าของพวกเจ้าทุกคน ถึงเวลาไหนควรจะหยุดพัก ข้าต้องมีคำตอบอยู่ในใจ ต้องไม่ให้ทุกคนเดินเหนื่อยเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามให้พวกเจ้าเพิ่มพละกำลังฝีเท้าโดยอาศัยการเดินด้วย วันหน้าเส้นทางที่พวกเรายังต้องเดินอีกยาวไกล ข้าหวังว่าหลังจากนี้ทุกคนจะไม่ต้องลำบากกันมากนัก”

หลินโส่วอีมองสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอันแล้วยกมือทั้งคู่ขึ้นกอดอก จู่ๆ ก็แค่นเสียงเย็นอย่างไร้สาเหตุ “หากคนอื่นพูดประโยคนี้ ข้าไม่มีทางเชื่อแน่”

เฉินผิงอันยกแผ่นไม้ไผ่ในมือขึ้นแล้วถามยิ้มๆ “ยิ่งนานก็ยิ่งคล่องมือแล้ว แต่ว่าหีบไม้ไผ่ใบสุดท้ายต้องทำออกมาได้สวยที่สุดแน่ ถ้าอย่างนั้นใบนี้ข้าทำให้หลี่ไหวก่อน? เพราะใบนี้ข้าทำขนาดค่อนข้างเล็ก”

หลินโส่วอีปรายตามองหลี่ไหวที่ขี่อยู่บนหลังลาเฒ่าแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ทำให้ข้าก่อนแล้วกัน อย่างมากก็คงถูกเขาบ่นสองสามคำเท่านั้น”

เฉินผิงอันหัวเราะทันใด “ข้าจะพยายามทำของเจ้าให้แน่นหนาสักหน่อย ใช้เชือกมากหน่อย ใต้เท้าเทพเซียนนี่นะ หากวันหน้าสามารถบินไปบินมาได้อย่างอาเหลียงจริงๆ หากไม่แน่นหนาสักนิดเกรงว่าคงสะพายได้ไม่กี่วัน”

หลินโส่วอีถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้โง่สักเท่าไหร่ แต่หากคิดจะตามความคิดของเจ้าหมอนี่ให้ทันกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก นึกถึงเรื่องหนึ่งที่ต่อให้คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาก็ถามด้วยความใคร่รู้ “ทำไมตอนอยู่ที่จุดพักม้าเจิ่นโถว อาเหลียงยังไม่ทันจากไปนานเท่าไหร่ เจ้าก็เล่าเรื่องของจูเหอจูลู่ให้หลี่เป่าผิงฟังตามจริงทั้งหมด?”

สีหน้าของเฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง ถามกลับว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าสนิทกับเป่าผิงมากกว่า หรือสนิทกับพ่อลูกคู่นั้นมากกว่า?”

หลินโส่วอีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เหลวไหล”

เฉินผิงอันจึงพยักหน้า “ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้เป่าผิงรู้อย่างชัดเจนว่าคนที่มาจากตระกูลของนางทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง จูลู่เป็นคนอย่างไรกันแน่ ข้าพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว ตอนที่อาเหลียงจงใจวางกับดักนาง นางไม่ได้แค่เกิดความลังเลเรียบง่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่หวังให้จูเหอบิดาของนาง…ลุกขึ้นมาอีกครั้ง หากจะบอกว่าตอนอยู่เขาฉีตุน การกระทำที่เหลวไหลของนางทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย แต่ในเมื่อหลังจากจบเรื่องทุกคนต่างก็ปลอดภัยกันดี ข้าสามารถมองว่านางร้อนใจห่วงใยบิดาและลองเอาตัวไปคิดในมุมมองของนาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะทำได้ดีกว่านาง ดังนั้นแม้ในใจข้าจะโกรธเคือง แต่ก็ไม่มีทางตำหนินางซึ่งหน้า ทว่าตอนที่อยู่ในระเบียงของจุดพักม้า การกระทำของจูลู่ไม่อาจให้อภัยได้อีกแล้ว ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ให้ผลประโยชน์กับนางมากพอ อย่าว่าเป่าผิงที่เป็นคุณหนูของนางเลย อันที่จริงไม่ว่าใครก็ล้วนถูกจูลู่ขายได้ทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “หากนางยังมีนิสัยอย่างนั้น สักวันหนึ่งบิดาของนางย่อมต้องตายเพราะนางเข้าจริงๆ ข้าไม่หวังให้คนที่นิสัยไม่เลวอย่างจูเหอได้มีชีวิตออกไปจากเมืองหงจู๋ แต่สุดท้ายก็ยังต้องไปตายด้วยน้ำมือของบุตรสาวตัวเองอยู่ดี ทำไมนะทั้งๆ ที่มีพ่อ แต่กลับไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!