อ่านสรุป ตอนที่ 118.2 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 118.2 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ส่วนแม่นางซิ่วซิ่วที่มีนิสัยประหลาดในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว จากการพูดคุยกันของคนทั้งสอง สตรีแต่งงานแลวจึงรู้ว่านอกจากแม่นางซิ่วซิ่วต้องตีเหล็กทุกวันแล้ว ยังจะต้องคอยไปจับตามองการซ่อมแซมบ้านหลังเก่าที่อีกไม่นานก็จะเสร็จสมบูรณ์ด้วย นอกจากนั้นทุกสามวันห้าวันก็จะคอยไปทำความสะอาดบ้านสองสามหลัง อีกทั้งยังเอาแม่ไก่และลูกเจี๊ยบที่อยู่ในกรงย้ายมาเลี้ยงที่ร้านตีเหล็ก
อันที่จริงสตรีแต่งงานแล้วไม่เข้าใจความคิดของแม่นางผู้นี้เลย บุตรสาวโทนของอริยะสำนักการทหารคนหนึ่ง ทำไมใช้ชีวิตเหมือนบุตรสาวของชาวบ้านทั่วไป ไม่เพียงแต่น่าเบื่อไร้รสชาติ ยังไม่มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ใดๆ อีกด้วย
ทว่านางก็ไม่กล้าบอกความคิดในใจให้หร่วนซิ่วฟัง
หลังจากนางได้กลายมาเป็นเทพลำคลองก็ยิ่งรู้ลึกซึ้งถึงความความร้ายกาจของมังกรเพลิงตัวนั้น
แต่ตอนนี้สตรีแต่งงานแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีที่พึ่งอย่างแท้จริงแล้ว! นางคิดว่าตนกับแม่นางซิ่วซิ่วเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร และจะอย่างไรนางก็ถือว่าเป็นผู้ช่วยอริยะสำนักการทหารครึ่งตัว อีกทั้งน่าจะถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่หยางเหล่าโถวจำชื่อไม่ได้ด้วยกระมัง?
เรื่องเหล่านี้ล้วนทำให้สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างลำพองใจ
อันที่จริงนางเองก็จำได้ แต่ค่อนข้างขี้ลืม พอแผลหายดีแล้วจึงมักจะลืมความเจ็บปวดบ่อยๆ
แต่นางก็ยินดีที่จะให้มันเป็นเช่นนี้
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนหินหลังควายเพียงลำพังทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “กบใต้บ่อน้ำ บางครั้งได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงก็ปลาบปลื้มลืมความกังวล”
เนิ่นนานต่อมาเด็กหนุ่มที่กลางหว่างคิ้วมีไฝแดงหนึ่งเม็ดเดินขึ้นมาบนก้อนหินช้าๆ นั่งยองลงข้างกายผู้เฒ่าแล้วถอนหายใจ
หยางเหล่าโถวถามยิ้มๆ “วันนี้อ่านตำราในโรงเรียนได้เยอะไหมล่ะ?”
ประโยคนี้ทำร้ายจิตใจของราชครู “หนุ่ม” ไม่น้อย เขาจึงโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ผู้เฒ่าไม่ได้สาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาต่อ เพราะอย่างไรซะคนทั้งสองก็เคยเป็นพันธมิตรกันในเวลาสั้นๆ มาก่อน “รูปปั้นดินร่างทองในหอเหวินฉางของตระกูลหยวนและศาลอู่เซิ่งของตระกูลเฉาต่างก็สร้างเสร็จแล้วกระมัง แต่ยังเลือกสถานที่ไม่ได้อย่างนั้นรึ? เจ้าไม่ช่วยลูกศิษย์ของตัวเองสักหน่อยเล่า อยากจะเห็นวิถีทางที่นำพาเขาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานต้องขาดสะบั้นลงที่อำเภอหลงเฉวียนนี่จริงๆ น่ะหรือ?”
เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีไฝสีชาดกล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว “หากเป็นเมื่อก่อนข้าย่อมต้องมีวิธีรับมือในภายหลัง แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าข้ายังมีความจำเป็นนั้นอีกหรือ?”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “อเนจอนาถอยู่บ้างจริงๆ”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่ ตาเฒ่าหยาง ตอนนั้นเจ้าไม่ช่วยขอร้องแทนข้าก็ยังพอทำเนา แต่นี่เจ้ายังมีหน้ามากระแทกกระทั้นแดกดันข้าอีกรึ?!”
หยางเหล่าโถวไม่เห็นเป็นสำคัญ “คำพูดของอย่างมากก็ฟังแปร่งหูไปบ้าง ไม่ได้เรียกว่าถากถางแดกดันอะไร”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็พูดอีกว่า “จะให้ข้าแบกหน้าแก่ๆ นี่ไปขอร้องแทนเจ้า มีประโยชน์งั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มพูดพึมพำ “แต่ก็น่าจะลุกขึ้นมากล่าวเพื่อความเป็นธรรม พูดอะไรสักหน่อยสิ”
เด็กหนุ่มเอนตัวไปด้านหลังนอนหงายลงบนหินสีดำที่เว้าโค้งไม่เรียบเนียน มองท้องฟ้ามืดดำยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าสูงแค่ไหนแล้วพูดเหมือนคุยกับตัวเองว่า “เจ้าเองก็เคยเป็นพันธมิตรกับซ่งจ่างจิ้งเหมือนที่เคยเป็นกับข้าใช่หรือไม่?”
หยางเหล่าโถวคลี่ยิ้ม “เคยสิ แถมยังไม่ได้ปิดบังใครด้วย หาไม่แล้วหลี่เอ้อร์ก็ไม่มีทางต่อสู้กับซ่งจ่างจิ้งจนเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนั้น แทนที่จะให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าเปลืองสมองคาดเดา ก็ไม่สู้เปิดเผยตรงๆ ให้เขาได้เห็นกับตาตัวเองจะได้ตัดสินใจเองดีกว่า แต่ข้าคาดว่าด้วยนิสัยพยศไม่ยอมลงให้ใครของซ่งจ่างจิ้ง ไปถึงเมืองหลวงแล้วย่อมต้องเล่าให้เขาฟังต่อหน้าอย่างไม่มีหมกเม็ดแน่นอน”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้าก็แค่โชคร้ายกว่าซ่งจ่างจิ้งเท่านั้น ข้าไม่ควรมาเยือนสถานที่เฮงซวยนี่เลย ยังจะเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล มารดามันเถอะ นี่มันสถานที่แห่งหายนะของข้าชุยฉานชัดๆ!”
ผู้เฒ่ากล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่สำหรับราชครูชุยฉานอีกครึ่งหนึ่งแล้ว กลับไม่แน่เสมอไป”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน พูดเดือดดาล “หยางเหล่าโถว ถ้าเจ้ายังจะพูดแบบนี้อีก ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้าจริงๆ!”
หยางเหล่าโถวหันไปมองเด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็หยุดราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “เจ้าตระหนักได้หรือไม่ว่า หลังจากถูกตัดขาดความเชื่อมโยงแล้ว เจ้าเปลี่ยนไปเยอะมาก?”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วคลางแคลงใจ “จริงหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “จริงสิ นิสัยเริ่มเปลี่ยน จิตวิญญาณเริ่มมั่นคงขึ้น แม้ว่าตบะอาจจะมองข้ามไปได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับราชครูชุยฉานคนก่อนหน้านี้ ในที่สุดเจ้าก็มีลักษณะเหมือนชุยฉานตอนหนุ่มขึ้นมาบ้างแล้ว”
เด็กหนุ่มหน้าเขียว ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมา
ผู้เฒ่ามองไปยังทิศไกล กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “ดูท่าการอ่านหนังสือพอจะมีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ”
ชุยฉานที่เดิมทีแค่มาพักพิงร่างกายอันล้ำค่าร่างนี้ ตอนนี้เหมือนผู้ลี้ภัยที่ต้องย้ายไปอยู่ห่างไกลแล้วลงหลักปักฐานที่นั่น
ชุยฉาน หนึ่งแยกเป็นสอง
ราชครูชุยฉานสูญเสียจิตวิญญาณไปส่วนหนึ่ง เรือนกายที่จิตวิญญาณของเด็กหนุ่มชุยฉานอาศัยอยู่เป็นทั้งสถานที่ตั้งตัว แล้วก็กรงขังแห่งหนึ่งด้วย
เด็กหนุ่มไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อเพราะกลัวว่าหากตัวเองทนไม่ได้จะกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเสียก่อน จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ไม่ได้รับปากว่าจะควบรวมลำธารหลงซวีกับลำคลองเถี่ยฝูให้เป็นแม่น้ำสายเดียวกัน จากนั้นก็ยกให้แม่ย่าลำคลองดูแลทั้งหมด แต่นี่แบ่งหนึ่งเป็นสอง แล้วเลื่อนตำแหน่งแยกเป็นของใครของมัน ขณะเดียวกันก็เลื่อนซ่งอวี้จางที่ ‘ป่วยตาย’ ขึ้นเป็นเทพภูเขาของเขาพั่วลั่วอย่างไม่มีลางบอกเหตุ แถมยังสั่งให้คนสร้างศีรษะทองคำส่งมาที่อำเภอหลงเฉวียนอย่างลับๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าต้องการลงโทษซ่งจ่างจิ้งน้องชายตัวเองกับสตรีที่นอนเคียงหมอนคนละครึ่ง”
หยางเหล่าโถวมองไปยังเทือกเขาที่ทอดตัวสลับขึ้นลงไปทางทิศตะวันตกแล้วถามว่า “เจ้าชุยฉาน ราชครูชุยก็ต้องคาดเดาจิตใจฮ่องเต้เหมือนกันหรือ?”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง ก่อนจะถอนหายใจยาว “หนึ่งก็เพราะติดอยู่ในกรงขังแห่งนี้มานาน ม้าผอมขนยาว คนจนปณิธานย่อมสั้น สองก็เพราะปณิธานของฮ่องเต้ท่านนั้นยิ่งใหญ่ยาวไกล ชอบใช้แผนการที่เปิดเผยตรงไปตรงมา ใครก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ หากเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์อื่น ซ่งจ่างจิ้งคงช่วงชิงบัลลังก์มานานแล้ว ส่วนสตรีผู้นั้นไม่แน่ว่าก็คงได้ลิ้มรสชาติของการเป็นจักรพรรดิหญิงนานแล้วเช่นกัน”
“บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กก็จริง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทวีปอื่นไม่มี นั่นก็คือในประวัติศาสตร์แท้จริงที่สามารถตรวจสอบได้ จนถึงวันนี้ยังไม่เคยมีจักรพรรดิหญิงที่ครอบครองใต้หล้ามาก่อน ไม่รู้ว่ามีสตรีแต่งงานแล้วกี่มากน้อยที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะลองเด็ดหัวเจ้าเหนือหัว แล้วฉวยโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงนานนับพันปีให้แก่ตัวเอง ต่อให้จะเป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็น่าจะยังเต็มใจ”
“ไม่รู้ว่าต้าหลีจะข้ามผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้หรือไม่ ต่อให้ข้ามผ่านไปได้แล้วก็ไม่รู้อีกว่าต้องล้าหลังถดถอยไปอีกกี่ปี”
“แต่ว่า ใต้หล้านี้ก็มีแต่ข้าเท่านั้นที่รู้ว่าอาเหลียงคิดจะทำอะไร เดาได้ว่าเขาจะทำอะไร”
หลังจากทหารผู้ดูแลจุดพักม้าเห็นว่าผู้เฒ่าหมุนตัวจากไปก็ถ่มน้ำลายลงบนพื้นแรงๆ หนึ่งที ทำไปแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นหน้าประตูจุดพักม้าของตนจึงใช้ปลายเท้าลบทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์
นับตั้งแต่ที่เด็กกลุ่มนั้นมาเยือนจุดพักม้าเจิ่นโถวก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน สุดท้ายยังทำให้ใต้เท้าผู้ดูแลจุดพักม้าที่มีเมตตาธรรมสูญเสียตำแหน่งขุนนาง ช่างเป็นกลุ่มดาวแห่งความโชคร้ายซะจริง
ผู้เฒ่าที่สะพายสัมภาระไว้ด้านหลังเดินอยู่บนถนน หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ก่อน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาย่อมพิสูจน์ใจคน
ผู้เฒ่ายื่นมือออกมาอย่างเงียบเชียบ ในมือข้างนั้นกำปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเอาไว้ จากนั้นเขาก็เก็บมันใส่ชายแขนเสื้ออย่างง่ายๆ
เด็กกลุ่มนั้นลงใต้ไปยังต้าสุย แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
บนเส้นทางกว้างใหญ่ ต่างคนต่างเดินไปคนละฝั่ง
จะไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันหรือไม่นั้น ไม่อาจรู้ ไม่อาจบอก
แต่เส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า สุดท้ายแล้วก็ต้องเดินไปทีละก้าวด้วยตัวเอง
……
บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง เนื่องจากมีลาสีขาวเกะกะขวางหูขวางตาอยู่ตัวหนึ่ง พวกเฉินผิงอันสี่คนจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ไม่อาจนั่งสบายๆ อยู่ในห้องใต้ท้องเรือ
ยังดีที่คนทั้งสี่เคยชินกับชีวิตยากลำบากที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายกันมานานแล้ว มีเพียงหลี่ไหวที่ค่อนข้างโมโหกับสายตาสุนัขมองคนต่ำของเจ้าของเรือเท่านั้น แต่เพียงไม่นานก็หัวเราะร่าเริงบอกให้หลินโส่วอีช่วยจูงลา เขาปีนขึ้นไปบนหลังมัน ทั้งนั่งเรือทั้งขี่ลาในเวลาเดียวกัน ทำเอาหลี่ไหวอารมณ์ดียิ้มกว้างหุบปากไม่ลง
ผู้โดยสารเรือใหญ่คนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนมองมาทางเด็กหนุ่มและเด็กๆ เหล่านี้
หลินโส่วอีกำเชือกไว้แน่น ลมแม่น้ำพัดโชยมาเป็นระลอก เส้นผมข้างขมับของเขาปลิวไสวเบาๆ เด็กหนุ่มลูบคลำไปตรงตำแหน่งหัวใจ ตรงนั้นมีกระดาษยันต์สีเหลือและตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ เก็บซ่อนไว้
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ด้านข้าง กำลังใช้มีดฝ่าฟืนผ่าไม้ไผ่ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เขารับปากหลินโส่วอีกับหลี่ไหวว่าจะทำหีบหนังสือใบเล็กให้แก่คนทั้งสอง
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ต่อให้จะนั่งอยู่ก็ไม่ยอมปลดหีบหนังสือสีเขียวมรกตออกจากไหล่พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะลึง “อาจารย์อาน้อย ปิ่นบนหัวของท่านหายไปแล้ว! ก่อนจะขึ้นเรือก็ยังอยู่นี่นา”
เฉินผิงอันตะลึงงัน ลูบไปบนมวยผมเหนือศีรษะด้วยความมึนงงเล็กน้อย แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับเรื่องประหลาดทั้งหลายดีแล้ว แม้ในใจจะผิดหวังอย่างมาก แต่ก็ยังยิ้มได้ “ไม่เป็นไร ข้าจำตัวอักษรแปดตัวนั้นได้ วันหน้าจะทำให้ตัวเองชิ้นหนึ่งและสลักตัวอักษรแบบเดียวกัน”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ
……
ซิ่วไฉเฒ่าที่เดินอยู่บนถนนเมืองหงจู๋ยิ้มอย่างรู้ใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “ประเสริฐ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!