กล่าวประโยคเหล่านี้จบ เด็กสาวที่ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยก็เริ่มเงียบเสียงลง หันหน้ามองไปยังทัศนียภาพของภูเขาเหิงซานโดยอาศัยแสงจันทร์
เฉินผิงอันไม่รบกวนความคิดของเด็กสาว
ประโยคที่ว่าพูดความในใจกับคนไม่สนิทถือเป็นความโง่เขลา เฉินผิงอันที่ไม่เคยเล่าเรียนมาก่อนย่อมไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพังเพยสวยหรู แต่เขากลับเข้าใจในหลักการนี้
ดังนั้นเรื่องช่องโพรงและทิศทางการไหลเวียนของลมปราณในร่างกายเขาทุกวันนี้ เฉินผิงอันจะไม่มีทางเปิดเผยแก่คนนอกแม้แต่ครึ่งคำ
และวิธีโคจรลมปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ก็ยิ่งต้องปิดปากให้แน่นสนิท
ในความเป็นจริงแล้ว ลมปราณในร่างของเขาที่เหมือนมังกรไฟว่ายวนขุมนั้น ในที่สุดก็เปลี่ยนจากท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้ก่อนหน้านี้มาเป็นเลือกช่องโพรงลมปราณสองแห่งเป็นที่พักพิง หนึ่งล่างหนึ่งบน “จวน” หนึ่งในนั้นก็คือช่องโพรงที่ว่างเปล่าหลังจากปราณกระบี่ขุมหนึ่งถูกนำไปใช้สังหารงูขาวบนเขาฉีตุน เมื่อปราณกระบี่จากไป ลมปราณขุมนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปพักอาศัยอย่างรวดเร็วราวกับคนได้รับสมบัติล้ำค่า ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งยังนานกว่าช่องโพรงด้านล่างที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งจุดตันเถียนด้วย
จากนั้นเมื่อเฉินผิงอันใช้วิธีการหายใจเข้าออกที่ได้รับสืบทอดจากหยางเหล่าโถวเมื่อนานมาแล้ว พยายามให้ลมหายใจที่ใช้ในการเดินนิ่งยืนนิ่งทุกครั้งไหลเวียนผ่าน หรือไม่ก็ขยับเข้าใกล้ช่องโพรงใหญ่แต่ละแห่งที่คาถาสิบแปดหยุดต้องผ่านให้ได้มากที่สุด
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนนอกจะมองออกได้ในปราดเดียว
แต่กลับไม่แน่เสมอไปที่คนนอกจะสามารถมองออกว่า วิธีการหายใจที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายึดติดตายตัวของเฉินผิงอันนั้นต้องผ่านความมานะพยายามมากมายเท่าไหร่
คำพูดประโยคหนึ่งของผู้เฒ่าเหยาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ทำให้เด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงจดจำได้ขึ้นใจไปตลอดชีวิต
อะไรที่เป็นของเจ้า จงรักษาไว้ให้ดีอย่าทำหาย อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า ก็อย่าแม้แต่จะคิดถึง
เมื่อก่อนเฉินผิงอันยากจนข้นแค้น จึงคิดถึงประโยคหลังมากกว่า ตอนนี้เริ่มมีสมบัติเป็นของตัวเองจึงเริ่มมีการแสวงหา ดังนั้นประโยคแรกจึงเริ่มถูกนำมาใช้
เฉินผิงอันต้องการทำทุกเรื่องให้ออกมาดี ดีที่สุด!
เขามักจะบอกตัวเองเช่นนี้
ตลอดทางที่มุ่งหน้าลงใต้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเปลี่ยนรองเท้าไปคู่แล้วคู่เล่า ต่อให้ได้เห็นทัศนียภาพแปลกใหม่สวยงามมากมาย ทว่าหลักการและเหตุผลที่เคยได้รับรู้มาในอดีต ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ไปๆ มาๆ แล้วก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยโยนทิ้งไปสักข้อ
ราวกับว่าความยากจนที่ต้องเผชิญมาตั้งแต่เด็กทำให้เกิดความหวาดกลัว หลักการที่อาจจะว่างเปล่าไร้ประโยชน์ในสายตาคนอื่น กลับมีคุณค่าสำหรับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่สองมือว่างเปล่า เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมูลค่า เวลาที่อยู่ท่ามกลางผู้คนจะต้องคิดถึงพวกมัน เวลาที่รอบกายไม่มีผู้ใดก็ชอบที่จะเอาออกมาขบคิด
ใน ‘มารยาทพิธีการ’ หนึ่งในตำราของเด็กประถมลัทธิขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ‘ชีพญาณจากฟ้ามาอยู่ในตัวเราเรียกว่าธรรมญาณคล้อยตามความเป็นธรรมญาณเรียกว่าธรรมะ เรื่องราวเพื่อการบำเพ็ญธรรมะเรียกว่าศาสนา อันธรรมะนั้น มิอาจออกห่างได้แม้ชั่วขณะ ออกห่างได้มิใช่ธรรมะแล’
เมื่อวันก่อนหลี่เป่าผิงอธิบายคำสอนของอริยะท่อนนี้ให้เฉินผิงอันฟัง บางครั้งเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไม่ค่อยปรากฎตัวก็จะเดินออกจากรถม้า เดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสองเงียบๆ พอฟังเสร็จก็จากไปเงียบๆ
แต่ว่าตอนนั้นแม่นางน้อยสอนตามตำรา อธิบายเป็นแบบแผนตายตัว เฉินผิงอันฟังแล้วก็เมหือนยืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกหนาชั้น และไม่นานคนทั้งสองก็กระโดดข้ามขั้นตอนนี้ไป
เวลานี้อยู่ดีๆ เด็กสาวก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจข้า เฉินผิงอันเจ้าไปก่อนเลยก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชุยตงซานบอกว่าภูเขาเหิงซานลูกนี้น่าจะมีภูตผี ดึกมากแล้ว แม่นางเซี่ยระวังตัวด้วย”
เด็กสาวคลี่ยิ้มตอบ “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็นแค่นักพรตน้อยห้าขอบเขตล่าง แต่ก็ยังพอมีวิธีรักษาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญวิกฤตความเป็นความตาย ไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันไถลตัวตามลำต้นของต้นไม้ลงมาบนพื้นดิน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าด้วยท่าเดินนิ่งของตำราเขย่าขุนเขา เดี๋ยวตึงเดี๋ยวผ่อนเป็นจังหวะจะโคน
มวยภายนอกที่เดิมทีเรียบง่ายอย่างมากกลับถูกเด็กหนุ่มฝึกฝนจนกลายมามีลักษณะไหลรื่นต่อเนื่องดุจมวยภายใน
เด็กสาวถือกิ่งไม้ตบลงบนเข่าตัวเองเบาๆ
เด็กหนุ่มชุดขาวมาโผล่บนกิ่งไม้สูงบริเวณใกล้เคียงอย่างลึกลับ ซึ่งก็คือตำแหน่งเดียวกับที่เฉินผิงอันใช้ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูก่อนหน้านี้ กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าเขาส่ายไหวเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มจึงขยับขึ้นสูงขยับลงต่ำตามไปด้วย
ชุยฉานหันหน้าไปทางด้านนอกภูเขา โบกมือหนึ่งครั้ง ขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่งก็บินเข้าหาเด็กสาวเซี่ยเซี่ย ฝ่ายหลังยื่นมือออกไปรับเอาไว้ ก้มหน้าลงมองด้วยสายตาซับซ้อน
เซี่ยเซี่ยเอ่ยถาม “ตลอดเวลาที่เดินทางมาเกือบยี่สิบวัน ขนาดใต้เท้าราชครูก็ยังมองจิตใจของเฉินผิงอันไม่ออกงั้นหรือ? เจ้าสั่งให้ข้าพูดคุยกับเฉินผิงอันไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงเรื่องอะไรก็พูดถึงเรื่องนั้น แต่นี่จะได้ผลอย่างไร?”
เด็กหนุ่มชุดขาวทอดสายตามองไปไกลพลางเอ่ยเสียงเบา “เวลาเฉินผิงอันเห็นข้า จิงชี่เสินตลอดทั้งร่างจะหดตัวลงตามสัญชาติญาณ คล้ายหน้าด่านแห่งหนึ่งที่พอเห็นควันสัญญานเตือนภัยก็จะปิดด่านอย่างแน่นหนา เวลาปกติที่เขาพูดคุยกับพวกหลี่เป่าผิงจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาบ้าง แต่ก็นั่นก็ยังไม่พอ จำเป็นต้องมีคนพูดคุยเรื่องทั่วไปที่มีน้ำหนักกับเขาบ้าง”
เซี่ยเซี่ยถามหยั่งเชิง “ใต้เท้าราชครูอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าเส้นขีดจำกัดที่แท้จริงของเฉินผิงอันอยู่ตรงไหนกันแน่?”
สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตอบไม่ตรงคำถาม “ตาแก่นาบประทับอักษรบางอย่างลงบนวิญญาณของข้า ตอนนี้ข้ารู้แค่ว่าพวกมันจะปลดปล่อยอารมณ์บางอย่างของข้าออกมาอย่างเต็มที่ อารมณ์รักใคร่เหล่านั้นมองดูเหมือนเป็นธรรมชาติ แต่พอย้อนกลับไปดูกลับทำให้คนขนลุกขนชัน หากหยางเหล่าโถวไม่ได้เตือนข้าไว้ก่อน จนถึงทุกวันนี้ข้าก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว”
เด็กสาวคลี่ยิ้ม “เพราะต้องการให้ท่านราชครูเรียนรู้การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจงั้นหรือ?”
ชุยฉานสีหน้าเย็นชา แต่ไม่ได้หันกลับไปมองนาง “นังหนู ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้พูดจากระทบกระเทียบคนอื่นไปเรื่อย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าทำอะไรเขาเฉินผิงอันไม่ได้ หาไม่เขาคงตายไปเป็นร้อยครั้งนานแล้ว ส่วนเด็กตัวน้อยที่ทำตัวล่องไปตามกระแสคลื่นอย่างเจ้า ตายไปก็เป็นได้แค่แมลงน่าสงสารที่ไม่มีคนตั้งป้ายหน้าหลุมศพให้ หากตอนนี้ข้าคิดจะบดขยี้เจ้าให้ตายจริงๆ ก็เป็นเรื่องง่ายดายเพียงแค่ยกฝ่าเท้าเท่านั้น”
เด็กสาวเงียบงัน
ชุยฉานยืนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งบิดข้อมือ “อวี๋ลู่ฉลาดและน่าเอ็นดูกว่าเจ้ามากนัก”
เด็กสาวไม่กล้าพูดเหลวไหลอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!