เฉินผิงอันผ่ากิ่งไม้ออกเป็นท่อนๆ เมื่อสร้างกระโจมหยาบๆ สามหลังเสร็จก็มาเรียกหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยจึงอ้าปากหาวหวอดแล้ววิ่งไปนอนในกระโจมหนึ่งหลัง นอกจากนี้หลี่ไหวกับหลินโส่วอีนอนด้วยกันในกระโจมหลังหนึ่ง เด็กสาวเซี่ยเซี่ยเองก็มีกระโจมเป็นของตัวเองหลังหนึ่ง อวี๋ลู่มักจะนอนตรงตำแหน่งที่นั่งของสารถีขับรถม้าโดยเอาพรมปูพื้นครึ่งผืน อีกครึ่งผืนใช้ห่อตัวก็สามารถผ่านค่ำคืนหนึ่งไปได้แล้ว
แน่นอนว่าในเวลาส่วนใหญ่คนทั้งกลุ่มมักจะหาที่พัก โรงเตี๊ยมหรือไม่ก็วัดในภูเขาเจออย่างราบรื่นเสมอ
เคยมีคืนหนึ่งที่พายุฝนฟ้าคะนอง อาศัยแสงตะเกียงที่ริบหรี่ กว่าพวกเขาจะหาบ้านของคนรวยหลังหนึ่งเจอได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าของบ้านเป็นถึงอดีตซื่อหลางกรมครัวเรือนของแคว้นหวงถิง ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีที่มาสร้างบ้านตากอากาศซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาขมีขมันในการต้อนรับแขกอย่างยิ่ง ได้เห็นปัญญาชนน้อยที่แบกหีบหนังสือทัศนาจรไกลอย่างพวกหลี่เป่าผิง ผู้เฒ่าก็ดีใจเป็นล้นพ้น ต่อให้จะรู้ว่าพวกเขามาจากแคว้นต้าหลีที่ถือได้ว่าเป็นแคว้นศัตรูครึ่งหนึ่ง ซือหลางเฒ่าก็ยังต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น สำหรับเรื่องอาหารการกิน ผู้เฒ่าก็ยิ่งยึดปฏิบัติในหลักของอริยะอย่าง “อาหารชั้นเลิศต้องปรุงอย่างพิถีพิถัน” ทำให้พวกเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
หลังจากนั้นเมื่อได้ทำความรู้จักกันก็ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะถูกชะตากับแม่นางน้อยหลี่เป่าผิงและอวี๋ลู่มากเป็นพิเศษ พอรู้ว่าแม่นางน้อยชอบอ่านบันทึกการเดินทางก็ไม่เพียงแต่มอบบันทึกการเดินทางที่ตัวเองเก็บไว้มาให้หลายเล่ม ยังยืนกรานว่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวชมสถานที่แห่งหนึ่งด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือหน้าผาใหญ่ริมแม่น้ำสายหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก พื้นผิวของหน้าผาราบเรียบดุจกระจก ด้านบนยังมีหินแก่สลักโบราณที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานกี่ปี ตัวอักษรที่แก่สลักไม่เคยมีสืบทอดในตำรา ยากจะทำความเข้าใจ ในประวัติศาสตร์มีนักกวีและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนมาชื่นชมภาพอัศจรรย์ของที่แห่งนี้ กระดาษลอกลายหินแกะสลักของที่นี่จึงเป็นที่นิยมมากในแคว้นหวงถิงและแคว้นต้าสุยที่อยู่เหนือขึ้นไป แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ความหมายที่แท้จริงของตัวอักษรเหล่านั้น แต่ละคนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป ไม่มีใครหาข้อสรุปที่ทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันได้เจอ
ตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยแนที่เพียงแค่ปรายตามองหินหน้าผาไกลๆ ก็เอ่ยว่านั่นคือ “ฝีมือแกะสลักจากมหาเทพแห่งสายฟ้า คือถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ เมธีและปราชญ์หลายรุ่นหลายสมัยตั้งใจศึกษาค้นคว้ากันถึงขนาดนั้นก็ยังไม่กล้าตั้งข้อสรุป การที่ซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิงไม่เห็นคำพูดส่งเดชของเด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าคนหนึ่งเป็นสำคัญก็มีเหตุผลพอจะเข้าใจได้
หลังออกจากบ้านพักของซือหลางเฒ่ามาแล้ว ทุกครั้งที่เฉินผิงอันทำอาหารกลางดินกลางทรายบนป่าเขาก็จะค้นพบว่าสายตาของทุกคนไม่ค่อยจะปกตินัก โดยเฉพาะแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่ยังเอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งอยากจะปกปิดกลับยิ่งเป็นการเปิดเผยความคิดที่แท้จริงว่า “อาจารย์อาน้อย กับข้าวที่ท่านทำอร่อยมาก จริงๆ นะ ไม่แย่ไปกว่าอาหารของที่บ้านหม่าซือหลางเลยแม้แต่นิดเดียว!”
หลี่ไหวเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน หลังจากบอกกล่าวกับหลินโส่วอีหนึ่งคำก็ไปนอนในกระโจม หลินโส่วอียังไม่ง่วงจึงเล่นหมากล้อมกับเจ้าแม่ชิงผู้นั้นต่อไปเพื่อตัดสินให้รู้แพ้รู้ชนะ
หลินโส่วอีบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปที่วัดเล็กบนยอดเขากับเจ้าแม่ชิงเพื่อไปเอาตำราหมากล้อมอันล้ำค่าที่สอดไว้ในซอกผนังของวัดเล็กมา คงเพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะเป็นห่วง เด็กหนุ่มจึงอธิบายยิ้มๆ ว่าเดิมทีเจ้าแม่ชิงจะเดินทางไปกลับเพียงลำพัง เป็นเขาที่เสนอตัวว่าจะไปด้วย
เฉินผิงอันไม่สะดวกให้พูดอะไรมาก แค่บอกให้หลินโส่วอีระมัดระวังเวลาเดินทางตอนกลางคืน
เด็กหนุ่มและภูตผีแห่งวัดเล็กที่ได้รับควันธูปจากการกราบไหว้ของชาวบ้านจึงขึ้นเขาไปพร้อมกัน เฉินผิงอันมองแผ่นหลังของหนึ่งคนหนึ่งผีที่ค่อยๆ ห่างไปไกล อาจจะด้วยกฎเกณฑ์ที่มีเฉพาะบนภูเขา เท้าทั้งสองข้างของเจ้าแม่ชิงจึงไม่ติดพื้น ร่างลอยล่องไปด้านหน้า อีกทั้งเบื้องหน้ายังมีไฟผีพุ่งใต้สีเขียวเรืองรองอยู่จุดหนึ่งที่ส่องสว่างไปสี่ทิศ บวกกับข้างกายคือบัณฑิตสวมชุดเขียว คนทั้งสองจึงพูดคุยกันถูกคอ เป็นเหตุให้ภาพเหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้คนหวาดผวา กลับยิ่งดูคล้ายคลึงกับบทกลอนที่บันทึกไว้ในบันทึกท่องเที่ยวภูเขาแม่น้ำของหลี่เป่าผิงเล่มที่ว่า “ฉวยโอกาสที่อารมณ์ฮึกเหิม ถือเทียนส่องสว่างท่องเที่ยวยามราตรี ” หลายส่วนด้วย
……
หลังจากเด็กสาวเซี่ยเซี่ยจากไป เด็กหนุ่มชุยฉานก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงเพียงลำพัง บางครั้งนกกลางคืนก็ร้องเสียงดังชวนเศร้าสลดใจขึ้นมาท่ามกลางเทือกเขาสูงใหญ่ ชาวบ้านแคว้นหวงถิงเรียกนกชนิดนี้ว่า “นกพลัดถิ่น” ไม่เป็นมงคลนัก เพราะมักจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับการ “แจ้งข่าวคนตาย” “ฝันร้าย” เป็นต้น
ควันดำกลุ่มหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ผ่านแมกไม้ บินโฉบมาหยุดข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวแล้วหยุดนิ่งกลางอากาศ
เด็กหนุ่มหยุดความคิดสะระตะวุ่นวายในหัวลง เอ่ยปากถาม “จะไปแล้วหรือ?”
เทพหยินที่มาจากเมืองเล็กพยักหน้ารับ “ยันต์คุ้มกันกายที่หยางเหล่าโถวมอบให้สามารถป้องกันลมพายุปราณหยางและอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณที่มาจากหน้าด่านของเมืองต่างๆ ได้จริง แต่เมื่อมีด่านเหย่ฟูของต้าหลีเป็นจุดหมายปลายทาง ไปกลับก็ใช้หมดพอดี ข้าตัดสินใจมาส่งถึงภูเขาเหิงซานแคว้นหวงถิงเองโดยพลการก็ถือว่าเกินกำลังของตัวเองมากแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงแถบของแม่น้ำซิ่วฮวาและอำเภอหว่านผิงอาจจะเริ่มเจอกับความยากลำบาก”
ใบหน้าของเทพหยินเหมือนริ้วน้ำบนทะเลสาบที่กระเพื่อมไหว เหมือนเปลวเพลิงที่แกว่งไว เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง พร่าเลือนมองไม่ชัดเจน เขากล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “แม้ไม่รู้ว่าหยางเหล่าโถวตกลงอะไรกับเจ้า แต่ข้าหวังว่าก่อนหน้าที่จะไปถึงสำนักศึกษาแห่งนั้นของต้าสุย ใต้เท้าราชครูจะปฏิบัติต่อพวกเฉินผิงอันอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ”
เมื่ออยู่กับเทพหยิน เด็กหนุ่มชุดขาวก็ยังพอจะมีความเกรงใจอยู่บ้าง “ข้าจะพยายามเต็มที่ก็แล้วกัน”
เทพหยินพลันถามยิ้มๆ “ใต้เท้าราชครูเชื่อหรือไม่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว?”
เด็กหนุ่มชุยฉานส่ายหน้า “ไม่เคยเชื่อ หากเจ้าคิดจะโน้มน้าวให้ข้าสร้างบุญกุศลให้มากล่ะก็ ข้าก็ขอเตือนเจ้ากลับแล้วกันว่า เดินบนวิถีที่แตกต่างไม่อาจคบค้าสมาคม แทนที่จะเป็นกังวลว่าข้าจะคุ้มครองเฉินผิงอันที่เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเจ้าหรือไม่ ไม่สู้เป็นกังวลว่าลูกเมียที่อยู่ห่างไปไกลในที่ซึ่งเจ้ามองไม่เห็นจะถูกสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบเจี่ยนซูมองเป็นหมากสองตัวที่นำมาจับวางตามอำเภอใจหรือไม่ดีกว่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!