เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับเรื่องนี้ ตอนที่เผาเครื่องปั้นอยู่หน้าเตาต้องคอยดูไฟอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่าสวรรค์ เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามานานหลายปี แม้ผู้เฒ่าเหยาจะมองว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่ยินดีถ่ายทอดเคล็ดลับการเผาเครื่องปั้นที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุให้ แต่เนื่องด้วยเฉินผิงอันทำงานใช้แรงงานอื่นๆ ได้แทบไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคุ้นชินกับการเฝ้ายามตอนค่ำคืนที่ต้องใช้ความอดทนและความเด็ดเดี่ยวดียิ่งนัก
บวกกับที่ช่วงเวลาเฝ้ายามตอนนี้กลางคืนเงียบสงัดไม่มีคนรับกวน เขาจึงสามารถเอาการเดินนิ่งและยืนนิ่งของตำราเขย่าขุนเขามาฝึกซ้ำเพียงลำพังได้ บางครั้งก็นั่งถักรองเท้าแตะ บ้างก็หยิบเอาแท่นสังหารมังกรขนาดเล็กมาช่วยลับดาบยันต์มงคลให้กับหลี่เป่าผิง
เมื่อการฝึกยืนนิ่งท่าเจี้ยนหลูเริ่มจะเชี่ยวชาญมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมังกรไฟลมปราณเส้นนั้นในร่างเลือกสองช่องโพรงลมปราณเป็นที่พักพิงได้แล้ว ทุกครั้งที่เฉินผิงอันยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราท่าเจี้ยนหลู เมื่อสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งเข้า เขาก็เริ่มจมจ่อมอยู่กับมันจนร่างทั้งร่างตกอยู่ในสภาวะมหัศจรรย์เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ต่อให้ปีนี้อากาศหนาวหลังฤดูใบไม้ผลิจะยาวนานมากเป็นพิเศษ อากาศร้อนไม่มาเยือนเสียที ทว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันเฝ้ายามในครึ่งคืนหลัง ต่อให้เขาไม่ทันระวังทำให้กองไฟมอดดับลง เฉินผิงอันก็ยังคงไม่รู้สึกถึงอากาศชื้นหนาวเหน็บ ทุกครั้งที่เก็บท่าเจี้ยนหลู ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายด้วยท่าเดินนิ่งก็จะรู้สึกอุ่นสบายไปทั่วทั้งร่างทั้ง เวลาเร่งเดินทางตอนกลางวันจึงไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าให้เห็น
คืนนี้เฉินผิงอันยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ มุมานะฝึกท่าเจี้ยนหลู เพียงไม่นานปราณขุมนั้นที่อยู่ในร่างกายจึงไหลออกจากช่องโพรงลมปราณจุดตันเถียนเหมือนปลาหลีที่ลอยทวนกระแสน้ำค่อยๆ ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรทีละนิด จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ช่องโพรงซึ่งปราณกระบี่หายไปอยู่ชั่วครู่เหมือนคนเดินทางที่หยุดพักนอนยังจุดพักม้า แล้วก็เหมือนคนเดินเขาที่พักหายใจอยู่กึ่งกลางภูเขา จากนั้นก็บุกตะลุยขึ้นหน้าต่อไปรวดเดียว อ้อมผ่านไปทางต้นคอด้านหลัง สุดท้ายพุ่งตรงเข้าสู่กลางหว่างคิ้ว
หลังลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวทิ้งหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เขย่งปลายเท้ากระโดดเบาๆ สองสามทีแล้วหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็วก็เห็นว่าอวี๋ลู่ลงจากรถม้า เดินมาช้าๆ ตรงหน้าอกหอบเอากิ่งไม้บางส่วนที่ไม่ค่อยจะแห้งนักมาด้วย เขานั่งยองลงข้างกองไฟ เรียนแบบการสร้าง “เตาไฟ” ของเฉินผิงอันโดยการค่อยๆ ใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่โยนเข้าไปส่งเดช และไม่นานกองไฟก็เริ่มลุกโชนขยายใหญ่
อวี๋ลู่ยื่นมือไปอังไฟแล้วถูเข้าด้วยกันเบาๆ หันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ “เฉินผิงอัน วันหน้าให้ข้าช่วยเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยไหม? ท่ายืนนิ่งของวิชาหมัดมวยที่เจ้าต้องฝึกนี้ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรวอกแวก อันที่จริงร่างกายข้าก็แข็งแรงพอใช้ เชื่อว่าเจ้าเองก็น่าจะดูออก ดังนั้นหากเจ้าเชื่อใจข้า สามารถยกสองชั่วยามก่อนฟ้าสางให้ข้าเป็นคนเฝ้ายามได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “อวี๋ลู่ ความหวังดีของเจ้าข้ารับไว้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องการให้เจ้ามาเฝ้ายามตอนกลางคืน”
อวี๋ลู่รู้ว่าความหมายในคำพูดของเฉินผิงอันก็คือ ยังไม่วางใจจะฝากความปลอดภัยของทุกคนไว้ที่ตัวเขาอวี๋ลู่ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ได้อับอายจนพานเป็นความโกรธ เพียงพยักหน้ารับ “หากเวลาไหนต้องการสามารถบอกข้าได้ ข้าเองก็อยากทำอะไรเพื่อทุกคนบ้างเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่สบายใจ”
เฉินผิงอันมองใบหน้าที่ถูกแสงเพลิงสาดสะท้อน เหลี่ยมมุมคมสันชัดเจน ดวงตาสุกสว่าง มากพอจะทำให้คนสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของเขา
เฉินผิงอันจึงตอบรับยิ้มๆ “ตกลง”
อวี๋ลู่เอ่ยชวนคุย “ดูตามเวลาแล้ว ตอนนี้ถือว่าเข้าช่วงหน้าร้อน แต่อากาศกลับยังเหมือนช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิอยู่เลย”
เฉินผิงอันเออออตาม “ปีนี้ค่อนข้างจะประหลาดอยู่บ้าง”
อวี๋ลู่คุยเล่นอยู่อีกสองสามคำก็ลุกขึ้นบอกลา เฉินผิงอันมองส่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จากไป
ฟังจากที่หลินโส่วอีเล่าให้เขาฟังเป็นการส่วนตัว ยามที่อวี๋ลู่เล่นหมากล้อม แม้มองดูเหมือนพลังพิฆาตจะไม่มาก ไม่ได้คล่องแคล่วดุจมีเทพช่วย แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเทียบกับเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่เปิดและปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เลือดสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ อันที่จริงเขากลับร้ายกาจยิ่งกว่า
เฉินผิงอันค้นพบมานานแล้วว่าอวี๋ลู่เป็นคนที่ทำอะไรละเอียดอ่อน พิถีพิถันรอบคอบอย่างยิ่ง หลินโส่วอีบอกว่าเวลาที่อวี๋ลู่ทำอะไรก็ตามล้วนมั่นคงรอบคอบยิ่งกว่าขุนนางเฒ่าในจวนที่ว่าการที่เชี่ยวชาญเสียอีก
เฉินผิงอันเคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเพียงแค่เคยได้เห็นเขาถักรองเท้าแตะกับตาตัวเองครั้งสองครั้ง เพียงไม่นานอวี๋ลู่ก็สามารถถักได้เอง อีกทั้งยังทำได้เหมือนมาก ที่สวมอยู่บนเท้าคู่นี้ก็มาจากฝีมือของอวี๋ลู่เอง หรือยกตัวอย่างเช่นทุกครั้งที่เฉินผิงอันตกปลา อวี๋ลู่ก็มักจะยืนมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ ดูว่าเฉินผิงอันเหวี่ยงเบ็ดเวลาไหน เหวี่ยงไปตกตรงช่วงไหนของธารน้ำ ยกคันเบ็ดขึ้นมาอย่างไร ตกปลาตัวใหญ่ได้แล้วควรจะลากปลาอย่างไรให้หัวปลาสูงพ้นเหนือน้ำ เมื่อปลาใหญ่เห็นแสงสว่างเหนือผิวน้ำเป็นครั้งแรกควรจะปลดตะขอออกอย่างไร เป็นต้น ภายหลังมีอยู่ครั้งหนึ่งเฉินผิงอันมีธุระจึงต้องไปทำอย่างอื่น อวี๋ลู่จึงเปิดปากขึ้นว่าขอให้เขาทดลองทำดูได้ไหม พอรับคันเบ็ดตกปลามาจากมือเฉินผิงอัน อวี๋ลู่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ตกปลามาก่อน ผลกลับได้ปลามาไม่น้อย
สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้เฉินผิงอันล้วนไม่เคยพูดออกมา แค่มองด้วยตาจดจำด้วยใจเท่านั้น เพียงรู้สึกว่าหากเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่าชื่อนี้จริงหรือไม่เป็นคนดี เขาก็ต้องเป็นคนที่ดีมากๆ แต่หากเป็นคนชั่ว เฉินผิงอันก็แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องชั่วถึงขนาดไหน
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างสงบ
นอกจากกองเพลิงข้างกายเฉินผิงอันที่ค่อยๆ หดเล็กลง ด้านในรถม้ากลับมีตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นมาตั้งแต่เช้า ส่องสว่างไปทั้งคันรถ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดขาวกำลังอ่านตำราอะไรถึงได้ตั้งใจเพียงนี้
ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไร เฉินผิงอันเริ่มกลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ เดินไปยังจุดที่มองเห็นได้กว้างที่สุดของกึ่งกลางภูเขาเหิงซาน เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เขาก็เริ่มฝึกหมัดมวย หลังจากนั้นหลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มาร่วมฝึกด้วยกัน มีเพียงหลี่ไหวที่นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ที่ฝึกได้ครู่เดียวก็วิ่งปรู๊ดไปที่อื่น อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยเองก็เห็นมาจนชินตาจึงไม่แปลกใจอะไร วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวเลิกผ้าม่านยืนอยู่บนรถม้า มองพวกเขาที่รำมวยจริงจังเป็นขั้นเป็นตอน ช่วงแรกเริ่มสุดยังพ่นลมออกจมูกอย่างดูแคลน ปรายตามองทีเดียวก็ไม่เหลียวแลอีก ทว่าพอเวลาผ่านไปนานวันเข้า ช่วงเวลาที่ราชครูหนุ่มผู้นี้ยืนมองอยู่ไกลๆ กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
คนทั้งกลุ่มกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็เริ่มเดินตามทางภูเขาขึ้นไปบนยอดเขา เดินผ่านวัดเจ้าแม่ชิงที่ถูกบันทึกไว้ในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ต้นไป่โบราณที่อยู่เคียงข้างกับวัดเล็ก หากมองแค่ขนาดของพุ่มใบที่ดกหนา ไม่ได้มองว่าวาสนาลึกล้ำหรือตื้นเขินก็พอจะเทียบเคียงกับต้นไหวโบราณที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้เลย
เดิมทีหลินโส่วอีนึกว่าเฉินผิงอันจะเดินทางต่อ คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเดินเข้าไปดูในวัด จากนั้นก็เรียกเขา หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวเข้าไปด้านใน ที่แท้สภาพในวัดเล็กเละเทะอย่างมาก กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เทวรูปดินเหนียวที่วางไว้บนแท่นบูชา ไม่ว่าหลี่ไหวจะชะโงกหน้าไปดูแค่ไหนก็ไม่เห็นเหมือนกับแม่นางผีสาวที่เล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอีเมื่อคืนนี้ ตลอดทางที่เดินทางกันมา หลินโส่วอีพูดคุยกับเทพหยินมากที่สุดจึงรู้เรื่องภายในมากมาย เลยอธิบายให้หลี่ไหวฟังว่า ชาวบ้านในท้องถิ่นจำนวนมากซาบซึ้งที่องค์เทพสิ่งศักดิ์สิทิ์ช่วยปกปักษ์คุ้มครองคนในพื้นที่จึงสร้างเทวรูปขึ้นมากราบไหว้บูชา ร่างทองคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เสวยสุขกับควันธูปจึงมักจะสูญเสียโฉมหน้าที่แท้จริงไป หรืออาจถึงขั้นไม่มีความคล้ายคลึงกับตัวจริงเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่ส่งผลกระทบต่อบุญกุศลที่ได้จากควันธูปซึ่งผู้คนกราบไหว้บูชา
ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามทำความสะอาดในวัดเล็กจนเอี่ยมอ่อง พวกเฉินผิงอันถึงได้เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ก่อนจะจากไป หลินโส่วอีไปนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเบาะรองนั่งเบื้องใต้แท่นบูชาเพียงลำพัง แล้วยกมือกุมประสานบอกลาเจ้าแม่ชิงที่มอบตำราหมากล้อมที่มีเพียงเล่มเดียวให้กับเขา
ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มชุดขาวก็พาอวี๋ลู่เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ชุยฉานกวาดตามองรอบด้าน หลังจากเดินไปหยุดอยู่หน้าแท่นวางเทวรูป มองกระถางธูปใบเล็กที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าซึ่งทำมาจากทองแดงธรรมดาๆ อาจเป็นเพราะผ่านกาลเวลายาวนานมาหลายร้อยปี พื้นผิวกระถางทองแดงจึงใสแวววาว ในกระถางมีธูปที่ยังไหม้ไม่หมดก้านปักรวมกันแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าต่อให้วัดเล็กแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในทำเนียบภูเขาและแม่น้ำแคว้นหวงถิง และในความหมายที่เข้มงวดแล้วควรถือเป็นวัดที่สร้างขึ้นอย่างผิดธรรมเนียมต้องห้าม ทว่าดูจากขนาดของวัดเล็กแห่งนี้ก็ถือว่าได้รับควันธูปเฟื่องฟูรุ่งเรืองแล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวพลันเอ่ยขึ้นว่า “อวี๋ลู่ พบเจอศาลและวัดควรจะเข้ามากราบไหว้สักหน่อย นี่เป็นเรื่องดีซึ่งถือว่าได้ผูกวาสนากับภูเขาและแม่น้ำ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!