หลี่เป่าผิงกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลของตัวเองเงียบๆ จากนั้นก็แอบยื่นขาออกไป หลี่ไหวไม่ทันระวังจึงสะดุดล้มหน้าทิ่ม พุทราเชื่อมในมือกลิ้งหลุนๆ ไปไกล โชคดีที่หีบหนังสือใบเล็กยังรัดไว้ค่อนข้างแน่นหนา หลี่ไหวนั่งลงบนพื้นแล้วแผดเสียงร้องไห้อย่างร้าวรานใจ
แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแสร้งยืดคอขึ้นมองซ้ายมองขวา เฉินผิงอันที่ทั้งโมโหทั้งขำฟาดนางแรงๆ หนึ่งที เดินไปประคองหลี่ไหวที่ดีดขาสองข้างชักดิ้นชักงอให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลให้เด็กน้อยที่เสียใจใหม่อีกหนึ่งไม้ หลี่ไหวยิ้มทั้งน้ำมูกน้ำตานองหน้า รับพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลที่สะอาดเอี่ยมไม้ใหม่ไป แล้วจึงไปเป็นพุทราเชื่อมไม้ที่เปรอะเปื้อนดินขึ้นมาถือข้างละไม้ คราวนี้หลบห่างหลี่เป่าผิงไปค่อนข้างไกล แล้วส่ายพุทราเชื่อมในมือซ้ายขวาอย่างร่าเริง
หลี่เป่าผิงค้อนขวับ “บ้องตื้น!”
เป็นเรื่องประหลาดมาก ไม่ว่าหลี่ไหวจะถูกหลี่เป่าผิงรังแกอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเคียดแค้นแม่นางน้อยที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้ ซ้ำยังไม่แม้แต่จะโกรธอีกฝ่าย อย่างมากสุดก็แค่น้อยใจ เสียใจอยู่กับตัวเองเท่านั้น
ข้อนี้ทั้งเฉินผิงอันและหลินโส่วอีต่างก็ไม่เข้าใจ หลินโส่วอีได้แต่อธิบายว่าเป็นเพราะวัตถุอย่างหนึ่งมักจะสยบวัตถุอีกอย่างหนึ่งได้เสมอ หลี่ไหวจึงจำเป็นต้องให้หลี่เป่าผิงจัดการ
เด็กหนุ่มชุยฉานเดินออกจากกลุ่มไปนานแล้ว เขาไปหยุดเท้าอยู่เบื้องหน้าร้านขายของจิปาถะแห่งหนึ่งแล้วก็ไม่เดินต่ออีก อวี๋ลู่คิดจะจอดรถม้ารออีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มชุดขาวกลับไม่รับน้ำใจ เพียงโบกมือให้อวี๋ลู่ตามพวกเฉินผิงอันไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขามองซ้ายมองขวากวาดตาดูนั่นนี่ด้วยความรังเกียจเล็กน้อย แล้วก็ทำท่าจะจากไป ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
เจ้าของร้านคือชายหนุ่มสีหน้าเกียจคร้านคนหนึ่ง เดิมทีมีลูกค้าที่เดินทางมากราบไหว้ศาลแวะเข้ามาถามราคาสินค้าในร้าน เขาไม่สนใจจะตอบ กิจการจึงยิ่งซบเซา พอเห็นราศีคนมีเงินของเด็กหนุ่มชุดขาวคล้ายเป็นลูกหลานชนชั้นสูงของในเมือง โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีจะสนใจสินค้าในร้าน เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี รีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ค้อมตัวสาธยายว่าวัตถุเก่าแก่หลายสิบชิ้นพวกนี้ล้วนเป็นสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของทางร้าน อย่างน้อยมีอายุนานถึงสองสามร้อยปีแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ตระกูลพบเจอกับความยากลำบากครั้งใหญ่ ร้อนเงินอย่างมาก หาไม่แล้วตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเอาออกมาขาย
แค่มองดูก็รู้ว่าร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ทรุดโทรมด้วยสุรานารี เมื่อเห็นว่าไม่ว่าตนจะพูดชักจูงอย่างไรเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ยอมอ้าปากพูด ชายหนุ่มจึงนั่งแปะกลับไปบนม้านั่งดังเดิม เขาหรือจะกล้าบังคับให้อีกฝ่ายซื้อ นายท่านนายน้อยที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ของเมือง มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่แค่ถ่มน้ำลายก็ทำให้พวกเขาจมน้ำลายตายได้แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังได้ยินมาด้วยว่าในจวนของคนเหล่านี้ แต่ละปีล้วนต้องมีเซียนบนภูเขาเดินเข้าออก ทุกครั้งต้องเปิดประตูใหญ่ต้อนรับอย่างอลังการ ดูเกินจริงยิ่งกว่าเวลาฉลองเทศกาลปีใหม่เสียอีก อีกทั้งยังจุดประทัดดังสนั่นไปยันชั้นฟ้า คงอยากจะให้คนทั้งเมืองรับรู้กันถ้วนทั่วว่าตระกูลพวกเขาได้ต้อนรับแขกสูงศักดิ์อย่างเทพเซียนเข้าประตูบ้าน
จู่ๆ เด็กหนุ่มชุยฉานก็ถามขึ้นว่า “ของบนโต๊ะนี้ทั้งหมด สิบตำลึงเงินพอหรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง กล่าวด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวว่า “คุณชายท่านนี้ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยโลภมากคิดขูดรีดท่าน สมบัติจากบรรพบุรุษเหล่านี้ล้วนเป็นของดีที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของตระกูลข้าน้อยจริงๆ ในทำเนียบตระกูลของข้าบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าบรรพบุรุษเคยเป็นพระอาจารย์น้อยของรัชทายาทราชวงศ์จี๋ชิ่งแคว้นโฮ่วสู่ด้วย ของที่บรรพบุรุษที่เป็นเช่นนี้ทิ้งเอาไว้ ต่อให้ขายชิ้นล่ะเจ็ดสิบแปดสิบตำลึงเงินก็ไม่มากเกินไปกระมัง?”
ใบหน้าของชายหนุ่มแดงงปลั่ง หยิบรูปปั้นคนที่ทำจากแก้วยาวประมาณครึ่งชุ่นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เสียดายก็แต่สีสันของมันหม่นหมอง รูปลักษณ์ภายนอกไม่ถือว่าสวยงามนัก ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมันส่งให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ท่านลองดูสาวงามกระจกแก้วชิ้นดีๆ นี้ หากสายตาดีหน่อยจะมองเห็นชัดเจนแม้แต่ขนคิ้วของมัน รวมไปถึงรอยยับย่นบนสาบเสื้อ เรียกได้ว่าละเอียดอ่อนอย่างเห็นได้ชัด ถอยไปพูดหมื่นก้าว วัตถุกระจกแก้วที่หายากระดับนี้ ต่อให้คุณภาพของแก้วจะไม่ได้สูงมาก แต่สาวงามร่างแก้วชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ขายสามสี่ตำลึงก็ไม่ถือว่าไร้คุณธรรมหรอกกระมัง? บวกกับสมบัติน้อยใหญ่ชิ้นอื่นๆ ราคาสิบตำลึงที่คุณชายเสนอมาจึงน้อยเกินไปจริงๆ คุณชายท่านโปรดเห็นใจเพิ่มราคาให้อีกสักหน่อยจะได้ไหม?”
เด็กหนุ่มชุยฉานนิ่งคิดหน้าเคร่งอยู่ชั่วครู่ “ถ้าอย่างนั้นก็สิบเอ็ดตำลึง?”
ชายหนุ่มเกือบจะสำลักลมหายใจตาย เขายืนอึ้งไปไก่ไม้ มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเทพเซียนด้วยสายตาเลื่อนลอย สุดท้ายจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “คุณชายท่านอย่าได้ล้อข้าเล่นอีกเลย”
เด็กหนุ่มชุยฉานหัวเราะร่าเสียงดัง “รู้จักเงินลายเกล็ดหิมะหรือไม่?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างมึนงง ยิ้มจืดเจื่อน “ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้ว ยุคของบิดาข้าน้อยตระกูลพวกเราก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยรุ่งเริง ถนนที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองก็มีร้านหลายสิบร้านที่เคยเป็นกิจการของครอบครัวข้าน้อย”
ชุยฉานหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบลงบนโต๊ะ “เงินทางการต้าหลียี่สิบตำลึง เมื่อเอามาคิดเป็นเงินชั้นเลวของแคว้นหวงถิงพวกเจ้า จะอย่างไรก็น่าจะได้ถึงยี่สิบห้าตำลึง แถมยังเหลือด้วยซ้ำ แค่นี้พอจะซื้อของผุๆ พังๆ บนโต๊ะนี่ทั้งหมดได้หรือยัง?”
ชายหนุ่มที่ขโมยสมบัติเหล่านี้ของตระกูลออกมาขายตั้งราคาต้นทุนในใจไว้ประมาณยี่สิบตำลึงเงิน พอเห็นเงินจำนวนนี้จึงยิ้มหน้าบาน รีบหยิบเงินก้อนนั้นมากำไว้ในมือแน่น ลองชั่งน้ำหนักเงียบๆ จากนั้นชายเล็บกรีดลงไปเบาๆ ไม่ผิดแน่ เป็นเงินทองคำขาวคุณภาพเยี่ยมอย่างแท้จริง ด้วยกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนใจ หลังจากเก็บซ่อนเงินก้อนอย่างดีแล้ว สองมือก็รีบยื่นไปจับชายผ้าที่ห้อยอยู่ตรงขอบโต๊ะ ตลบขึ้นมาห่อสองสามทีก็กลายเป็นห่อผ้าหนึ่งใบ ของด้านในกระทบกันดังเคร้งคร้าง หลังจากมัดเป็นปมแน่นแล้วก็ผลักไปด้านหน้าเด็กหนุ่ม ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง “คุณชายท่านนี้ ทั้งหมดเป็นของท่านแล้ว”
เด็กหนุ่มชุยฉานหิ้วห่อผ้าขึ้นมา เอ่ยหยอกเย้า “หากขายของปลอมให้ข้า ข้าจะกลับมาเล่นงานเจ้า เอาให้เจ้าต้องกินมันลงท้องจนครบทุกชิ้นเลยทีเดียว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!