เด็กหนุ่มที่อยู่ก้นบ่อส่ายหน้า “ข้าไม่ขึ้น”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกเรามาคุยกันดีๆ คุยกันด้วยเหตุผลก่อน ไม่ใช่ตีรันฟันแทงตั้งแต่ต้น อีกอย่างข้าก็มีแรงแค่นั้น หากตีกันขึ้นมาจริงๆ ข้าจะเอาชนะเจ้าชุยตงซานได้หรือ?”
เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านล่างส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ขึ้น!”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
ชุยฉานตะโกนเสียงดัง “ข้ากลัวร้อน ข้างล่างบ่อนี่เย็นกว่า”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินวนรอบปากบ่อช้าๆ
เพียงไม่นานก็มีเสียงดังมาจากข้างล่าง “เฉินผิงอัน เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่รับข้าเป็นศิษย์ แต่สำหรับข้าแล้วเจ้าคืออาจารย์ ดังนั้นข้าจะทุบตีเจ้าไม่ได้ จะฆ่าเจ้าก็ไม่กล้า หากเจ้ายืนกรานจะลงไม้ลงมือขึ้นมา ข้าต้องเสียเปรียบแน่ อีกอย่างปราณสังหารที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างเจ้านั่นก็แทบจะอัดแน่นเต็มบ่อโบราณแห่งนี้อยู่แล้ว หากข้ายังขึ้นไปให้โดนเตะ ข้าก็โง่น่ะสิ!”
เด็กหนุ่มชุดขาวพูดกลั้วหัวเราะ เขาเหยียบอยู่บนผิวน้ำที่แผ่กระเพื่อมเล็กน้อย เด็กหนุ่มชุดขาวชี้ไปยังผนังด้านในของบ่อที่มีตะไคร่เขียวนุ่มลื่นเย็นฉ่ำ
แม้ว่าถ้อยคำที่ใช้จะเรื่อยเปื่อย แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้กลับไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าเผาผลาญกำลังจิตใจและรากฐานที่เหลืออยู่อีกไม่มากยิ่งกว่าตอนอยู่จวนมหาวารีเสียอีก
เพราะหลังจากเลียบก้นแม่น้ำมาจนถึงก้นบ่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ชุยฉานตระหนักได้ว่าเจ้าเด็กแซ่เฉินที่อยู่ข้างบนผู้นั้นกลับสามารถเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเขาได้จริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเฉินผิงอันซุกซ่อนวิธีการอันน่าครั่นคร้ามอะไรเอาไว้ แต่ลางสังหรณ์ของเขามักแม่นยำเสมอมา
แม้เท้าของเฉินผิงอันจะเดินอ้อมวนบ่อน้ำ แต่เขากลับไม่ยินดีพูดจาอ้อมค้อมกับเจ้าหมอนี่ จึงถามไปตามตรง “แผนที่ของที่ว่าการอำเภอแผ่นนั้น เจ้าได้ให้นายอำเภออู๋ยวนแอบทำอะไรกับมันหรือไม่?”
ชุยฉานตะโกนดังลั่น “เฮ้ๆๆ เฉินผิงอัน เจ้าพูดอะไรน่ะ ข้าฟังไม่ค่อยถนัด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว”
ชุยฉานร้อนใจขึ้นมาทันใด “อะไรนะ? มีเหตุผลแบบนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันถามต่อ “ข้าถามเจ้าแค่คำถามเดียว เจ้าจะทำร้ายพวกหลี่เป่าผิงหรือไม่?”
ชุยฉานไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ถามกลับว่า “หากข้าตอบไป เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เชื่อ”
ชุยฉานโมโหตนเต้นผาง “แล้วเจ้าจะถามทำผายลมอะไร!”
เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านบนไม่พูดอะไรอีก
ชุยฉานเงี่ยหูฟัง ไม่มีความเคลื่อนไหว เขาพลันตื่นตระหนก ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม สีหน้าเศร้าสลดคละเคล้าไปกับความฮึกเหิม ในใจคิดว่า มารดามันเถอะ สมกับคำว่าพยัคฆ์เฒ่าออกจากป่า สุนัขธรรมดาก็รังแกได้จริงๆ หากเปลี่ยนไปเป็นตอนอยู่จวนมหาวารี ไม่ว่าข้าจะหยิบมดตัวไหนโยนออกมาไว้ตรงหน้าเจ้าเฉินผิงอัน เจ้ายังจะกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้อีกหรือไม่?”
น่าเสียดายที่คนเราเมื่ออยู่ใต้ชายคนก็จำต้องก้มหัวลงต่ำ เด็กหนุ่มชุดขาวยืดคอยาวตะโกนดัง “เฉินผิงอัน คุณชายเฉิน พี่เฉิน นายท่านเฉิน ท่านบรรพบุรุษเฉิน! ให้ตายอย่างไรเจ้าก็ไม่ยอมเป็นอาจารย์ของข้า ไม่เป็นก็ไม่เป็น แต่พวกเราไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน เจ้าอย่าไร้เหตุผลขนาดนี้จะได้ไหม? หากไม่พูดกันถึงด้านความรู้สึก พวกเราสองคนก็คุยกันด้วยคุณธรรมของยุติธรรมก็ได้!”
ในที่สุดด้านบนก็มีเสียงตอบรับ “ข้าเคยรับปากอาจารย์ฉีว่าจะส่งพวกเขาไปถึงสำนักศึกษาต้าสุยอย่างปลอดภัย”
เหนือผิวน้ำตรงก้นบ่อ เด็กหนุ่มชุดขาวเงียบเสียงลงไปอย่างสิ้นเชิง
ข้างบ่อน้ำ หลังจากประโยคนี้ผ่านไปก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก
เฉินผิงอันไม่เคยเชื่อใจเด็กหนุ่มชุดขาว มักจะระแวดระวังเขามาโดยตลอด
คนแซ่ชุยมีเจตนาไม่ซื่อมาตั้งแต่แรก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย แม้แต่คนตาบอดก็ยังมองออก
ยกตัวอย่างเช่นการเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมชิวหลูครั้งนี้ ก่อนหน้านี้คนแซ่ชุยใช้ศาลเทพอภิบาลเมืองเป็นตัวจุดฉนวน แล้วก็สาวดึงโรงเตี๊ยมชิวหลูตามมา มองดูเหมือนเป็นคำพูดจากความหวังดี แต่กลับใช้การฝึกตนของหลินโส่วอีมาเป็นเหยื่อล่อให้เฉินผิงอันเป็นฝ่ายตามหาที่ตั้งเก่าของศาลเทพอภิบาลเมือง
หลังออกจากด่านเหย่ฟูต้าหลี เมื่อเทียบกับอุปสรรคที่พบเจอก่อนหน้านั้น ตลอดทางนี้กลับราบรื่นอย่างมาก หลินโส่วอีสงบใจฝึกตน หลี่ไหวไม่สนใจอะไรเพราะยังเด็ก ส่วนหลี่เป่าผิงที่แม้ปากจะไม่พูดอะไร แต่เรื่องของพ่อลูกจูเหอจูลู่ทำให้แม่นางน้อยเสียใจอยู่มาก อีกอย่างตลอดเวลาที่เดินทางมา นางคือคนที่เหมาะสมกับประโยคว่าแบกหีบหนังสือทัศนาจรไกลมากที่สุด นางมักจะพิจารณาถึงคำถามประหลาดพิสดารอยู่เสมอ อีกทั้งเมื่อเทียบกับหลินโส่วอีที่ถือเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว และหลี่ไหวที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำแล้ว หลี่เป่าผิงต่างหากถึงจะเป็นคนที่ลำบากที่สุดในการเดินทางไปขอศึกษาครั้งนี้
ส่วนเซี่ยเซี่ยกับอวี๋ลู่ เดิมทีก็เป็นคนที่เด็กหนุ่มชุดขาวพามาอยู่แล้ว จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แม้ว่าตลอดเช้าจรดค่ำเฉินผิงอันจะยุ่งยิ่งกว่าใคร นอกจากต้องดูแลอาหารการกินและการอยู่ของคนทั้งสามแล้ว เวลาที่เดินทางยังต้องคอยฝึกท่าหมัดเดินนิ่งด้วย ถ้ามีเวลาว่างก็จะต้องใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูมาหล่อหลอมเรือนกาย ซ่อมแซมรูโหว่ช่องว่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นการเข่นฆ่าบนภูเขาฉีตุน การลอบสังหารที่ชั่วร้ายของจูลู่ในจุดพักม้าเจิ่นโถวเมืองหงจู๋ หรือจะเป็นสถานการณ์อันตรายหลังได้พบเจอผีสาวสวมชุดแต่งงาน รวมไปถึงการเดินขึ้นเขาลงห้วยในถิ่นของแคว้นหวงถิง
เฉินผิงอันก็ไม่เคยลืมเลยว่า เขาจะต้องคุ้มครองส่งพวกหลี่เป่าผิงสามคนไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย
คืนนี้ก่อนที่หลินโส่วอีจะออกไปจากศาลาลมเย็น ได้เอ่ยเตือนเขาหนึ่งประโยคว่า หากชุยตงซานผู้นี้คิดจะรีดไถของบางอย่างไปจากตัวเจ้าเฉินผิงอัน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริง อาจจะเป็นของบางอย่างที่ใหญ่มากและว่างเปล่ามากซึ่งเกี่ยวพันกับมหามรรคาของผู้ฝึกตน
หลี่เป่าผิงเองก็เคยพูดโดยไม่ได้ตั้งใจว่า คนแซ่ชุยมีฝีมือเล่นหมากล้อมร้ายกาจมาก นางกับหลินโส่วอีอย่างมากสุดก็ได้แค่อนุมานก้าวที่จะเดินหลังจากนั้นสองสามก้าว แต่คนแซ่ชุยกลับสามารถวางแผนได้อย่างยาวไกลมาก ไกลจนทำให้นาง หลินโส่วอี เซี่ยเซี่ยและอวี๋ลู่ต่างก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึง เวลาที่เล่นหมากล้อมกับพวกเขา มีความเป็นไปได้มากว่าตอนที่เพิ่งหยิบหมากมาไว้ในมือ คนแซ่ชุยก็คิดถึงช่วงกลางกระดานหรืออาจถึงขั้นจบกระดานแล้ว
หลังจากหลินโส่วอีไปจากศาลาลมเย็น เฉินผิงอันที่มองบ่อโบราณนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าปมในใจยากจะคลายออก
เฉินผิงอันคิดไปคิดมา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดระเบียบเส้นทางความคิดได้อย่างชัดเจน กลับกลายเป็นว่ายิ่งขมวดเป็นปมยุ่งเหยิง สุดท้ายเขาอับจนหนทางจึงลองวางเรื่องจุกจิกทั้งหมดลงชั่วคราว แล้วผลักทุกอย่างกลับคืนไปยังจุดเริ่มต้น
ยกตัวอย่างเช่นเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด
และยกตัวอย่างเช่นตอนได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก
จากนั้นเฉินผิงอันก็นึกถึงคนนอกสถานการณ์คนหนึ่งอย่าง นายอำเภออู๋ยวน
มีนายอำเภอก็ต้องมีที่ว่าการอำเภอ และที่มาที่แท้จริงของผืนที่ภูมิศาสตร์ใหญ่น้อยแผ่นนั้นก็มาจากที่ว่าการ ไม่ได้มาจากแม่นางหร่วนซิ่ว
หลังกลับมาที่ห้อง เฉินผิงอันก็เริ่มเอาแผนที่เหล่านั้นออกมากาง การดูครั้งนี้ของเขาใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามเต็ม
ยังคงหาความจริงที่แน่ชัดไม่เจอ แต่เฉินผิงอันกลับพอจะมองเห็นเส้นเส้นหนึ่ง
หากรวมแผนที่แต่ละแผ่นเข้าด้วยกัน เส้นทางที่ว่านี้อาจจะยาวไม่ถึงหนึ่งจั้ง
แต่ความยาวเพียงเท่านี้กลับทำให้พวกเฉินผิงอันกลับต้องเดินทางลำบากลำบนกันมานานถึงเพียงนี้
ชุยฉานชูมือสองข้างขึ้นสูง “ข้ากลัวเจ้าแล้ว จะให้ข้าสาบานต่อสวรรค์เลยก็ได้ ข้าชุยฉานรับรองว่าจะไม่ทำร้ายเด็กน้อยสามคนอย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอี!”
“ชุยตงซาน”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่ใหญ่ “เจ้าพูดจริงหรือ?”
ชุยตงซานตบอกเสียงดังไปถึงปากบ่อ “เชื่อข้าสักครั้งเถอะ!”
และเวลานี้เอง น้ำเสียงใสแจ๋วเริงร่าก็ดังขึ้น “อาจารย์อาน้อย! ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”
มีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาถึงศาลาลมเย็นอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงลมดังฟิ้วๆๆ ตามหลัง จากนั้นก็กระโดดขึ้นสูง แขนเล็กๆ สองข้างวาดตีสะบัดอยู่กลางอากาศเต็มแรง เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง ขาทั้งสองข้างก็ร่วงลงพื้นแทบจะเวลาเดียวกัน ร่างที่หยัดตรงอยู่นอกศาลาส่ายเอนไปมา สุดท้ายยืนได้มั่นคง แต่ยังอยู่ห่างจากบ่อน้ำโบราณอีกเล็กน้อย แม่นางน้อยจึงออกวิ่งอีกครั้ง
เฉินผิงอันอ้าปาก หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็ชินซะแล้ว จึงเดินเร็วๆ เข้าไปหานาง ถามว่า “ทำไมถึงไม่นอน?”
หลี่เป่าผิงถอนหายใจเหมือนคนแก่ “เซี่ยเซี่ยผู้นั้นนอนกรนเสียงดัง น่ารำคาญชะมัด”
เฉินผิงอันแค่ยิ้มตอบ ไม่ได้เอ่ยอะไร
แม่นางน้อยจึงพูดความจริงทันใด “ก็ได้ ข้ายอมรับว่านางไม่ได้นอนกรน แต่เป็นข้าที่สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองปากบ่อน้ำแวบหนึ่ง พอดึงสายตากลับคืนมาแล้วก็ถามยิ้มๆ ว่า “ฝันว่าอะไร?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ข้าฝันแทบจะทุกวันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่พอตื่นมากลับไม่เคยจำได้ว่าฝันว่าอะไร จำได้แค่ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายเท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!