ชายร่างเตี้ยม่อต่อคนหนึ่ง “เดินออกมา” จากเทวรูปดินเผาที่สีสันหลุดลอก หลังพลิ้วกายลงมาบนพื้นก็ยื่นมือไปหิ้วเด็กคนหนึ่งที่สวมชุดสีชาดออกมาจากในกระถางธูป เรือนกายของเด็กผู้นี้สูงแค่ฝ่ามือ ซึ่งก็คือกุมารควันธูปที่เป็นเพียงผลิตผลเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของศาลเจ้าที่แห่งนี้ ชายฉกรร์วางมันไว้บนไหล่ของตัวเองแล้วเริ่มเดินออกไป กระแสน้ำในแม่น้ำไหลเชียว แต่ชายฉกรรจ์กลับเดินเหยียบลงบนแม่น้ำโดยตรง
กุมารชุดแดงที่ยังสะลึมสะลือนอนหมอบอยู่บนไหล่ สบถด่าอย่างขุ่นเคือง “นายท่านใหญ่ ทำไมต้องรบกวนการนอนของนายท่านใหญ่อย่างขาด้วย?! หลังกลับมามือเปล่าจากการล้อมไล่ล่าก่อนหน้านี้ เจ้าก็ทำตัวแปลกๆ หรือเป็นเพราะเห็นสาวงามตระกูลชาวเรือในเมืองหงจู๋คนใดแล้วถูกใจ แต่ไม่มีเงินซื้อพวกนางมานอนด้วย เจ้าก็เลยหงุดหงิดงุ่นง่าน?”
หายากที่ชายฉกรรจ์ไม่ได้จัดการกับคนควันธูปตัวจิ๋วที่ปากพล่อยผู้นี้ เขาเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “พวกเราไปหาภูตปลาหลีตัวนั้นที่เมืองหงจู๋ นำหินดีงูก้อนหนึ่งของถ้ำสวรรค์หลีจูไปมอบให้แก่เขา อีกไม่นานเขาจะได้กลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำชงตั้น หากเจ้าเต็มใจ วันหน้าก็ติดตามอยู่ข้างกายเขาเถอะ ควันธูปในศาลของเทพวารี จะอย่างไรก็ต้องเจริญรุ่งเรืองกว่าศาลเจ้าที่ที่ใหญ่แค่ก้นของข้านี่…”
เด็กชายชุดแดงอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็โมโหเดือด กระโดดผาง เงื้อฝ่ามือตบลงไปบนซีกหน้าของชายฉกรรจ์แรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ว่าเขาก็ตัวเล็กเพียงเท่านี้ จะดีจะชั่วอีกฝ่ายก็เป็นเทพเจ้าที่ตัวจริงเสียงจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาแค่รู้สึกเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น คนจิ๋วควันธูปเต้นผางพลางสบถด่าฉุนเฉียว “นายท่านใหญ่อย่างเจ้าห้ามหมิ่นเกียรตินายท่านใหญ่อย่างข้า!”
สุดท้ายเด็กชายนั่งกลับลงไปบนไหล่ของชายฉกรรจ์อย่างห่อเหี่ยว สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง “ไม่ยอมไปเสวยสุขก็ตามใจ ชอบจะลำบากอยู่ที่บ้านตัวเองก็รอความตายอยู่ในภูเขากูซาน (ภูเขาโดดเดี่ยว) ไปแล้วกัน ข้าคร้านจะสนใจเจ้า”
พอได้ยินประโยคนี้ เด็กชายชุดสีชาดก็รีบเช็ดน้ำตา ยิ้มร่าทันที “รังเงินรังทองก็สู้รังหญ้าบ้านตัวเองไม่ได้ ใช่แล้ว เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์ศาลเก่าโทรมของเจ้าสักนิด นายท่านก็แค่ตัดใจทิ้งกระถางธูปใบนั้นไม่ลง!”
ชายฉกรรจ์ไม่เอ่ยตอบโต้
เด็กชายชุดแดงเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นเทพเจ้าที่ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในเขตการปกครองของเรานานที่สุด เพื่อนร่วมงานในอดีตที่เป็นคนวัยเดียวกับเจ้าหลายคน ตอนนี้อย่างแย่ที่สุดก็กลายเป็นเทพอภิบาลเมืองแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าก็สนิทกับพวกเขาไม่น้อย หลายคนอยากจะมาเยี่ยมเยือนเจ้าที่ภูเขากูซาน แต่ทำไมให้ตายเจ้าก็ไม่ยอมพบพวกเขา?”
ชายฉกรรจ์ไม่ตอบคำถาม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
คนจิ๋วควันธูปที่ใช้ชีวิตประคับประคองกันมากับเขากลับไม่ยอมปล่อยเจ้านายตัวเองไปง่ายๆ จึงพูดจ้อต่อว่า “เพื่อนบ้านของเรา สตรีของแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้น ทุกครั้งที่แอบมองเจ้า ดวงตาจะเป็นประกายวาววับ ขนาดนายท่านอย่างข้ายังแทบจะทนไม่ไหว แต่ทำไมเจ้าถึงได้ใจแข็งนัก? หากพวกขุนพลกุ้งหอยปูปลาใต้บังคับบัญชาของนางรู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์แบบนี้กับนางอยู่ ไหนเลยจะกล้ารังแกพวกเรา ขอแค่เป็นเผ่าน้ำที่มีสติปัญญา จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็ชอบจะมาพ่นน้ำลายใส่ชายฝั่งของภูเขากูซานของพวกเรา น่าโมโหยิ่งนัก! ทำเอาทุกครั้งที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นแถวในเมือง คนเผ่าเดียวกันไม่ชอบพาข้าไปเล่นด้วย เพราะรังเกียจที่ชาติกำเนิดของข้าย่ำแย่ เป็นเด็กบ้านนอกยากจน ต้องโทษเจ้าคนเดียวเลย!”
ชายฉกรรจ์อารมณ์ไม่เลว จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “บุตรไม่รังเกียจมารดาอัปลักษณ์ มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดมาก”
เด็กชายชุดแดงค้อนปะหลับปะเหลือก แค่นเสียงขุ่นเคือง “หลายปีมานี้ข้าเองก็ได้ยินข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ มามากมาย บ้างก็บอกว่าตอนนั้นเจ้าไปล่วงเกินบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายกรมพิธีการของเมืองหลวงต้าหลีเข้า ตอนที่เขาพาคนมาจุดธูปกราบไหว้ที่ภูเขากูซาน เจ้าไม่ปรนนิบัติเอาใจเขาดีๆ ก็ยังพอทำเนา แต่นี่ยังทำตัวไร้มารยาทต่อเขาอย่างมาก แถมยังมีคนบอกว่าเจ้าไปทำลายบุตรสาวของตระกูลเซียนบางคน ทำให้ยากที่จะผ่านด่านความรักไปได้ มหามรรคาจึงถูกถ่วงรั้ง เจ้าประมุขของตระกูลจึงสร้างแรงกดดันให้กับราชสำนักต้าหลี เรียกร้องให้บังคับเจ้าที่เป็นเทพเจ้าที่คอยเฝ้าอยู่ในศาลเก่าโทรมแห่งนี้ไปชั่วชีวิต แล้วก็มี…”
ชายฉกรรจ์หัวเราะ “พอแล้วๆ บัญชีเละเทะตั้งแต่ปีมะโว้ ขนาดข้ายังลืมไปหมดแล้ว เจ้าจะเดาส่งเดชอีกทำไม ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ แต่ขันทีกลับรีบร้อนงั้นหรือ”
เด็กชายชุดแดงกระโดดผลุงขึ้นมาตบหน้าชายฉกรรจ์อีกครั้ง “เจ้าว่าใครเป็นขันที?”
ชายฉกรรจ์ไม่ถือสาพฤติกรรมลามปามของเจ้าตัวน้อย จู่ๆ เขาก็หยิบก้อนหินสีเขียวอ่อนโปร่งใสก้อนหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้ววางไว้บนไหล่ “นี่ก็คือหินดีงูในตำนาน ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา เผ่าน้ำ โดยเฉพาะเผ่าน้ำประเภทเจียวและมังกร หากกลืนมันลงท้อง ขอแค่รอดมาได้ ตบะและขอบเขตก็จะทะยานพรวดพราด อีกทั้งยังไม่มีภัยร้ายทิ้งไว้เบื้องหลัง เท่ากับเป็นยาวิเศษชั้นหนึ่งของตระกูลเซียน”
เด็กชายชุดสีขาวรีบใช้สองมือประคอง “หินยักษ์สูงเท่าครึ่งตัวคน” ก้อนนั้นเอาไว้ทันที ถามอย่างใคร่รู้ “ใครให้เจ้ามา? ทำไมเขาถึงไม่เอาไปให้ปลาหลีที่ชื่อหลี่จิ่นอะไรนั่นโดยตรง?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ตอนนั้นคร้านจะถาม ตอนนี้คร้านจะเดา”
เด็กชายชุดแดงยกสองมือกุมหน้า อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา “สวรรค์ ทำไมข้าถึงได้มาผูกติดอยู่กับเจ้านายที่ไม่รู้จักความก้าวหน้าแบบนี้นะ ฟ้ามีตาโปรดสงสาร ประทานแม่นางน้อยที่ร่าเริงน่ารัก งดงามล่มบ้านล่มเมือง มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เกิดในชาติตระกูลสูงส่งมาให้เป็นภรรยา ถือเป็นการชดเชยให้ข้าได้หรือไม่?
ชายฉกรรจ์หยิบหินดีงูกลับไป เอ่ยหยอกล้อ “คนอย่างเจ้าเนี่ยนะ? รอชาติหน้าเถอะ”
เด็กชายชุดแดงปีนขึ้นไปบนศีรษะของบุรุษด้วยความโมโห นั่งเงียบๆ อยู่ท่ามกลางเส้นผมยุ่งเหยิงอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มบิดตัวไปมา
ชายฉกรรจ์ถาม “เจ้าจะทำอะไร?”
เด็กชายชุดแดงตอบเสียงสะบัด “คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าทำร้ายจิตใจกันเกินไป ข้าจะอึลงบนหัวเจ้า”
“สามวันไม่ตีปีนขึ้นไปรื้อหลังคา!” (เปรียบเปรยถึงเด็กดื้อที่หากไม่ถูกสั่งสอนก็จะยิ่งซุกซนหนักข้อ)
ด้วยความโมโห ชายฉกรรจ์จึงคว้าร่างเจ้าตัวน้อยแล้วเหวี่ยงไปยังชายฝั่งตรงข้าม
ร่างของเด็กชายชุดแดงหมุคว้างอยู่กลางอากาศ เขาหัวเราะร่าเสียงดังอย่างสนุกสนาน “วู้ รู้สึกเหมือนเซียนที่กำลังขี่กระบี่บินอยู่เลย!”
ชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่บนแม่น้ำโกรธจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าตะพาบน้อยตัวดื้อ”
……
ควันดำขุมหนึ่งผุดทะลักจากใต้ดิน มาปรากฏอยู่ตรงหน้าจวนโอ่อ่าที่แขวนป้ายคำว่า “น้ำใสลมเย็น” แล้วก่อตัวขึ้นเป็นร่างคน
จวนใหญ่ที่เดิมทีอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายพลันสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยนับพัน แสงสีแดงเจิดจ้าส่องสะท้อนท้องนภา
สตรีที่มีใบหน้าซีดขาวราวหิมะผู้หนึ่งบินทะยานจากในจวนมาหยุดลอยอยู่หน้ากรอบป้าย แผดเสียงด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้ายังมาทำอะไรอีก? ทำไม ก่อนหน้านี้เจ้าเสียสติเกือบจะทำลายรากฐานของข้า ยังไม่สาแก่ใจพอ ยังอยากจะทำอะไรอีก?”
ไม่รู้ว่าทำไม ผีสาวถึงไม่ได้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดอีกแล้ว
เทพหยินกล่าวว่า “เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือไม่? หากต้องการ เจ้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนให้ข้ากลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ของจวนแห่งนี้แทนเจ้า”
ผีสาวเอามือหนึ่งกุมท้องหัวเราะขำ “เสียสติไปแล้ว คราวนี้เจ้าเสียสติจริงๆ”
เทพหยินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น เจ้าไม่อยากไปสำนักศึกษากวานหูเพื่องมศพของคนผู้นั้นขึ้นมาหรอกหรือ? ไม่อยากหาเบาะแสเพื่อแก้แค้นแทนเขาหรอกหรือ? ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว หากยังถ่วงเวลาออกไปอีก เกรงว่าศัตรูในอดีตคงได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเป็นสุข จากนั้นก็ทยอยกันแก่ตายไปหมดแล้วกระมัง”
ผีสาวพลันเงียบงัน
นางถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “ต่อให้ข้ายอมยกสถานที่นี้ให้เจ้า แต่เจ้าจะอาศัยอะไรมาทำให้ราชสำนักต้าหลียอมรับตัวตนของเจ้า?”
เทพหยินตอบลวกๆ “ข้าย่อมมีวิธี ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล”
ผีสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศหมุนตัวกลับไปมองกรอบป้ายนั้น จากนั้นก็หันไปมองทางภูเขาที่ทอดยาวไปไกล
ในอดีตตรงจุดนั้นเคยมีบัณฑิตร่างผอมบางสะพายหีบหนังสือเก่าโทรมเดินโซซัดโซเซอยู่ท่ามกลางสายฝนยามราตรี บางทีอาจเพราะต้องการปลุกความกล้าให้กับตัวเองจึงเอ่ยท่องเนื้อหาในตำราลัทธิขงจื๊อเสียงดังกังวาน
สายตาของบัณฑิตยากจนที่เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อร่วมการสอบเป็นประกายเจิดจ้า
นางพลิ้วกายลงพื้น เอ่ยถาม “ไม่เปลี่ยนกรอบป้ายนี้ได้หรือไม่?”
เทพหยินพยักหน้ารับ “ทำไมจะไม่ได้? อย่างมากสุดหนึ่งร้อยปี ข้าจะมอบจวนแห่งนี้คืนให้แก่ฮูหยินในสภาพเดิม”
ผีสาวเดินไปข้างหน้าช้าๆ สวนไหล่กับเทพหยินแล้วเดินจากไปไกลทั้งอย่างนี้
นางพูดพึมพำกับตัวเอง “ภูเขาแม่น้ำบรรจบ ไม่อาจพานพบกันใหม่”
นางหันกลับมาคลี่ยิ้ม “ศูนย์กลางของจวนอยู่ที่กรอบป้าย ข้าสละอำนาจในการควบคุมมันแล้ว หลังจากนี้จะดึงเอาโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาได้กี่ส่วนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเองแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!