อันที่จริงหลี่ไหวยังอยากจะล้มตัวลงนอนต่อ แต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันไม่อยู่ข้างกาย ไม่ได้อยู่ในการมองเห็นของตน หลี่ไหวก็เริ่มตื่นตระหนก กระวีกระวาดสวมเสื้อผ้าและรองเท้า เดินไปหยิบหุ่นไม้หลากสีออกจากหีบหนังสือไม้ไผ่เขียวแล้วพุ่งออกจากห้อง เห็นว่าหลินโส่วอีกำลังเล่นหมากล้อมกับผู้เฒ่าท่าทางยากจนคนหนึ่ง แม้แต่หลี่เป่าผิงที่เกิดมาเหมือนไม่ได้เอาก้นมาด้วยก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน ตั้งใจมองกระดานหมากอย่างว่าง่าย อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ยืนอยู่ข้างหลินโส่วอี คอยช่วยวางแผนรับมือ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลี่เป่าผิง พอเห็นหลี่ไหวก็กวักมือเรียก รอจนเด็กชายวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายแล้วจึงลุกขึ้นให้หลี่ไหวนั่ง หลี่ไหวเตรียมจะนั่งลงถึงค้นพบว่าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันตลอดเวลากำลังจ้องตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม หลี่ไหวคิดแล้วก็วางหุ่นไม้หลากสีลงบนเก้าอี้หินเงียบๆ ตัวเขาเองไม่นั่งแล้ว แค่กล้าเอาก้นวางบนโต๊ะหมิ่นๆ
ชุยฉานเด็กหนุ่มผู้มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วหันไปมองอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย สายตาที่มืดดำคล้ายน้ำในลำธารที่ไหลรินบนใบหน้าของคนทั้งสองไม่หยุดนิ่ง
เด็กสาวเซี่ยเซี่ยสัมผัสได้ถึงสายตาของชุยฉานอย่างคนรู้สึกไว นางไม่ได้เงยหน้าประสานสายตากับอีกฝ่าย แค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น เพราะปกติหากสายตามืดทะมึนของราชครูต้าหลีผู้นี้มองมาบนร่างของตน รูขุมขุนทั่วผิวหนังของนางจะพากันลุกชันเป็นหนังไก่ แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน ราวกับว่าสายตาของอีกฝ่ายเป็นแค่สายตาของคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกกดดันอย่างก่อนหน้านี้อีก สาเหตุเป็นเพราะแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ?
อวี๋ลู่เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้กับ “คุณชายของตน” ท่านนี้อย่างตรงไปตรงมา
ชุยฉานกระดิกนิ้วเรียก “อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าสองคนมานี่”
จากนั้นเขาถึงหันไปส่งยิ้มให้เฉินผิงอัน “ไปคุยกันที่ศาลาหน่อยได้ไหม มีบางเรื่องที่ต้องป่าวประกาศพูดคุยันอย่างเปิดเผย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วคนทั้งสี่ก็เดินไปที่ศาลาลมเย็น ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันตบหัวหลี่ไหวเด็กตาขาวเบาๆ เอ่ยหยอกเย้า “คราวนี้ก็นั่งลงอย่างวางใจได้แล้ว”
พอไปถึงศาลา ชุยฉานปรายตามองกระดิ่งลมที่ห้อยอยู่ใต้ชายคา ก่อนจะพูดกับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยว่า “พวกเจ้าแนะนำตัวตนที่แท้จริง ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่แผนร้ายอะไรทั้งนั้น ต่อให้ไม่เชื่อใจข้า พวกเจ้าก็ควรจะเชื่อใจเฉินผิงอันกระมัง?”
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยหันมามองหน้ากัน ต่างก็ไม่คิดรีบร้อนเปิดปาก
นับตั้งแต่ออกมาจากด่าน เด็กหนุ่มอวี๋ลู่ที่มีรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายก็รับหน้าที่เป็นสารถีมาตลอดทาง หนักเอาเบาสู้ เป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่ช่วยงานเฉินผิงอันได้มากที่สุด งานเย็บปักถักร้อยซ่อมแซมปะชุน เด็กหนุ่มก็ล้วนทำได้อย่างคล่องแคล่วประณีต เด็กหนุ่มเป็นโรครักความสะอาด จึงกระตือรือร้นกับการซักเสื้อผ้า ล้างขัดรองเท้าสานยิ่งนัก เห็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าของใครติดคราบดินโคลน หรือเวลาเดินถูกหนามแทงทะลุเป็นรู เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จะต้องรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ถึงขั้นที่ว่าหากอวี๋ลู่เห็นหลี่ไหววางหีบหนังสือเอียงกะเท่เร่โดยบังเอิญเป็นต้องทำหน้ากลัดกลุ้มทุกครั้ง ขอแค่หยุดพักอยู่ใต้แหล่งน้ำ รถม้าจะต้องถูกเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ขัดล้างจนสะอาดไม่เหลือฝุ่นเกาะสักเม็ด
สำหรับเรื่องนี้ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังทอดถอนใจที่ตนสู้ไม่ได้ ใต้หล้ายังมีคนที่ทำงานง่วนไม่หยุดมือแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
ส่วนเด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ใบหน้าดำเกรียมเคร่งขรึม แต่กลับมีเรือนกายสะโอดสะองนั้น หลี่เป่าผิงที่ยังมีจิตใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยอยู่มากกลับรังเกียจชิงชังนางอย่างลึกล้ำ มองนางเป็นศัตรูคู่อาฆาต ความประทับใจที่หลินโส่วอีมีต่อนางเรียกว่าธรรมดา ไม่ถือว่าดีมากและไม่เลวร้ายมาก อย่างมากก็แค่เล่นหมากล้อมด้วยกันยามมีเวลาว่าง แต่หลี่ไหวกลับสนิทสนมกับนางมากที่สุด คนทั้งสองต่างก็ชอบเล่นจัดวางค่ายกลทหารด้วยกัน
ชุยฉานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าเปิดเผยได้เต็มที่ ถึงเวลาข้าค่อยเก็บกวาดให้เอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!