ตอนที่ 165.2 – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 165.2 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักศึกษาซานหยาจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็มีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน
ในสำนักศึกษาเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด
แต่ที่น่าแปลกมากก็คือ เหล่าอาจารย์ทั้งหลายกลับทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งไม่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น แถมยังช่วยทำให้บรรยากาศเช่นนี้ยืดขยายออกไปอีก
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จึงมีคนหยัดยืนขึ้นมา ราดน้ำมันลงบนกองไฟ
บุตรชายพานเม่าเจินแม่ทัพใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเดิมทีเป็นเด็กหนุ่มที่ปลีกตัวสันโดษไม่ข้องเกี่ยวกับใคร เขาไปหาหลินโส่วอีที่อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ทุ่มสุดชีวิตทำลายเวทสายฟ้าของอีกฝ่ายให้แตกกระจายแลกมาด้วยการต่อยหลินโส่วอีให้กระเด็นในหมัดเดียว คราวนี้หลินโส่วอีบาดเจ็บสาหัสจริงๆ กระอักเลือดไม่หยุด กว่าจะดิ้นรนลุกขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับถูกเด็กหนุ่มแซ่พานผู้นั้นต่อยเข้าที่ศีรษะอย่างจังจนเขาผงะหงายไปบนพื้นราวว่าวที่สายป่านขาด บุตรหลานแม่ทัพใหญ่แห่งต้าสุยที่ลงมืออย่างเด็ดขาดดุจพลทหารในสนามรบยังไม่ลืมหันมาถ่มน้ำลายใส่ร่างของหลินโส่วอี
นั่นถึงทำให้เหล่าอาจารย์ของสำนักศึกษาซานหยาเริ่มยื่นมือเข้าแทรก ไม่อนุญาตให้มีการต่อยตีกันส่วนตัวอีก
แต่ว่าเด็กสาวที่มีชื่อประหลาดว่าเซี่ยเซี่ย แม่นางผิวดำเกรียมหน้าตาไม่โดดเด่นและไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มผู้นั้นกลับไม่คิดจะไปเยี่ยมดูหลินโส่วอี แต่ตรงไปหาเด็กหนุ่มแซ่พานในวันนั้นเลย นางเล่นงานจนฝ่ายหลังเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ได้แต่เผ่นหนีเอาชีวิตรอด หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ท่านหนึ่งรีบยื่นมือเข้าขัดขวางการไล่ล่าของเด็กสาว เรงว่าเด็กหนุ่มที่เดิมทีเป็นเมล็ดพันธ์แห่งแม่ทัพซึ่งเชี่ยวชาญวิถีการต่อสู้คงกลายเป็นเมล็ดพันธ์แห่งโรคไปแล้ว
ในที่สุดหลังจากที่นักเรียนคนหนึ่งของสำนักศึกษาปรากฏตัว การทะเลาะเบาะแว้งที่นานวันก็ยิ่งรุนแรงครั้งนี้ก็มีวี่แววว่าจะยุติลง
ศิษย์ของสำนักศึกษาผู้นี้คือบุคคลที่มหัศจรรย์มาก มีชาติกำเนิดยากจน ยังไม่ทันอายุยี่สิบก็ได้รับการยอมรับว่ามีความรู้มากพอให้เป็นผู้ช่วยสอนในสำนักศึกษาได้แล้ว ก่อนหน้านี้เขาออกจากต้าสุยเดินทางไปที่สำนักศึกษากวานหู หลังจากสอบผ่านการทดสอบร่วมของวิญญูชนผู้มีชื่อเสียงเก้าท่านในหนึ่งทวีปก็ได้รับตำแหน่งนักปราชญ์อย่างเป็นทางการ กลับมาต้าสุยในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาพร้อมสินค้าที่บรรทุกเต็มลำ สวมอาภรณ์ผ้าแพรกลับคืนบ้านเกิดอย่างแท้จริง
ราชสำนักต้าสุยยังตั้งใจส่งซือหลางฝ่ายขวาของกรมพิธีการออกไปนอกเมืองสิบลี้เพื่อรอรับนักปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่อายุยังน้อยผู้นี้ด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องที่ทำให้คนอิจฉาริษยามากกว่านั้นกลับเป็นเหตุการณ์ในภายหลัง ฮ่องเต้ให้ขันทีใหญ่ท่านหนึ่งในวังส่งสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือชุดหนึ่งที่มีมูลค่าควรเมืองไปให้กับเสาหลักของราชสำนักต้าสุยในอนาคตเพื่อแสดงความยินดี
ดังนั้นศิษย์ของสำนักศึกษาที่ชื่อว่าหลี่ฉางอิงผู้นี้จึงเดินกลับเข้ามาในภูเขาตงหัวด้วยสถานะนักปราชญ์และของพระราชทานที่ฮ่องเต้ต้าสุยมอบให้
เรื่องแรกที่เขาทำหลังจากกลับมายังสำนักศึกษาคือไปขอโทษหลี่ไหว
จากนั้นก็ไปเยี่ยมหลินโส่วอีที่ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง สุดท้ายมายืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวเซี่ยเซี่ย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช้อารมณ์ที่ฮึกเหิมตัดสินปัญหาอีก และในที่สุดสำนักศึกษาซานหยาก็กลายมาเป็นสถานที่แห่งกการศึกษาเล่าเรียน
หลังจากหลี่ฉางอิงจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เซี่ยเซี่ยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
……
ฮ่องเต้ต้าสุยไม่ได้ปกครองแคว้นแห่งหนึ่งด้วยชื่อเสียงของกษัตริย์ผู้ขยันขันแข็ง น่าจะกล่าวได้ว่า ชื่อเสียงของเขาไม่โด่งดัง ไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเฉกเช่นฮ่องเต้ต้าหลี ไม่เปี่ยมไปด้วยความสง่างามดุจปัญญาชนเหมือนกษัตริย์ของแคว้นหนันเจี้ยน ถึงขั้นเทียบกับฮ่องเต้สกุลหลูที่ชาติล่มสลายไปแล้วไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาบุรพแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ทางทิศใต้มักจะร่ำรวย ทางทิศเหนือรกร้างว่างเปล่ามาโดยตลอด ต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือถือเป็นต้นไม้ตระหง่านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น แม้แต่ชนชั้นสูงของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังเต็มใจไปมาหาสู่ด้วย ลูกหลานสกุลเกาต้าสุยเองก็เป็นแขกประจำของสำนักศึกษากวานหู
น้อยครั้งนักที่ฮ่องเต้ต้าสุยจะเรียกให้เหล่าเสาหลักของแคว้นซึ่งรวมถึงขุนนางสูงจากหกกรมอยู่รอเข้าร่วมการประชุมเล็กหลังจากเลิกประชุมเช้า ทว่าวันนี้กลับเป็นข้อยกเว้น และเหล่าแม่ทัพอัครเสนาบดีที่รวมถึงเจ้ากรมพิธีการต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามรสุมที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาได้ดำเนินมาถึงขั้นที่ฮ่องเต้ต้าหลีต้องเอ่ยถามด้วยตัวเองแล้ว
ดังนั้นผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ควบตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาจึงกลายมาเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน บนใบหน้าของใต้เท้าขุนนางฟ้า (เทียนกวาน หมายถึงขุนนางผู้ปกครองระดับบน มีอำนาจมาก) บุคคลอันดับหนึ่งของหกกรมที่จับมือกับสหายสนิทในราชสำนักอยู่รวมการประชุมครั้งนี้ไม่มีความลนลานใดๆ เรือนกายของเขาเล็กเตี้ย แต่กลับเป็นถึงเจ้ากรมพิธีการที่มีอำนาจสูง มองออกว่าเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่า “คนในเหตุการณ์” อย่างพวกนายพลเอกหันเหล่ากลับสีหน้าไม่ดีเท่าใดนัก
การประชุมเล็กเริ่มขึ้นอย่างไม่อุ่นไม่ร้อน ถึงขั้นไม่โชติช่วงเท่าเปลวเพลิงในกระถางไฟใบเล็กที่วางไว้ในห้องด้วยซ้ำ ก็แค่ฮ่องเต้เอาเรื่องในการประชุมใหญ่ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปมาพูดซ้ำเท่านั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ฝึกปรือฝีมืออยู่ในวงการขุนนางมาเกินครึ่งชีวิตแล้ว ทุกคนต่างคุ้นเคยกับกิจการงานในราชสำนักมาเนิ่นนาน พวกเขาจึงใช้เวลาตัดสินใจแต่ละเรื่องตามลำดับอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าเพียงไม่นานผลการตัดสินใจเหล่านี้ก็จะถูกส่งจากเมืองหลวงไปยังสถานที่ต่างๆ ที่สำคัญ
รอจนเรื่องใหญ่ได้ข้อสรุปแล้ว ฮ่องเต้ก็ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวที่ยังคงอุ่นร้อนไปคำหนึ่ง ทุกคนต่างก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น รู้ว่าละครฉากสำคัญมาถึงแล้ว
ฮ่องเต้วางถ้วยลง หันมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ทำไม ขุนนางที่รักทุกท่านกำลังรอชมเรื่องตลกจากกว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของกษัตริย์ในสมัยโบราณ) อยู่หรือไร?”
แม้ว่านายพลเอกหันเหล่าจะอายุมากถึงเจ็ดสิบปีแล้ว แต่กลับยังเป็นคนแก่ที่แข็งแรง ท่าทางกระฉับกระเฉง เขานั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ เปี่ยมไปด้วยบารมีทั้งที่ไม่แสดงความโกรธ แต่เวลานี้เขาค่อนข้างจะปั้นสีหน้ายากไปสักหน่อย ส่วนฮวายหย่วนโหวที่อายุประมาณสามสิบปีก็ยิ่งนั่งไม่เป็นสุข คนที่สร้างคุณความชอบให้กับต้าสุยจนได้รับตำแหน่งกงโหวป๋ออย่างเขา ในสถานการณ์โดยทั่วไปแล้วมักจะอยู่พ้นสายตาของราชสำนักไปแล้ว เว้นเสียแต่เหตุการณ์ที่สำคัญอย่างมากแล้วก็น้อยครั้งนักที่จะเข้าร่วมการประชุมเช้า นี่คือกฎของวงการขุนนางที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากปฏิบัติมาอย่างยาวนาน แต่วันนี้ขุนนางใหญ่หลายท่านซึ่งรวมไปถึงนายพลเอกหันเหล่าได้พากันส่งข่าวมาให้เขาด้วยความหวังดี บอกว่าทางที่ดีที่สุดวันนี้เขาควรเข้าประชุมเช้า พอถึงเวลาแล้วเกิดเรื่องขึ้นจะได้ไม่มีแม้แต่โอกาสได้อธิบาย
ฮ่องเต้ต้าสุยมองขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ทำท่าจะลุกขึ้นขออภัยโทษในเวลาเดียวกันแล้วยิ้มพลางยกมือกดลงบนความว่างเปล่าสองสามที “ไม่ต้องลุกขึ้นยืน นั่งพูดก็พอ วันนี้กว่าเหรินไม่ได้มาซักไซ้เอาโทษ แค่อยากรู้เรื่องข่าวลือที่ถูกกระพือให้แผ่เป็นวงกว้างออกไปเหล่านั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงที่ผ่านมา ทุกคนซึ่งรวมถึงเซวียนเอ๋อร์ต่างก็ขอให้ในห้องเรียนพูดคุยกันเรื่องนี้จนคาบเรียนเละเทะไปหมด ทำเอาอาจารย์ของพวกเขาบ่นกันไม่หยุด พวกอาจารย์โมโหจนอยากจะไล่ให้พวกเขาไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาซานหยาให้รู้แล้วรู้รอด”
เจ้ากรมพิธีการที่ตัวเล็กสุด แต่กลับมีอำนาจสูงสุดลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เขาอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดคร่าวๆ หนึ่งรอบโดยใช้คำพูดที่เป็นกลางไม่ลำเอียง
ฮ่องเต้ต้าสุยถามยิ้มๆ “เหมาเหล่าเป็นคนเปิดปากเองหรือว่าไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่เด็กๆ ทะเลาะกัน?”
เจ้ากรมพิธีการพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริงพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ต้าสุยอืมรับหนึ่งที “กว่าเหรินเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขาก็ตกสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด
ฮ่องเต้ถาม “หากเปลี่ยนมาเป็นขุนนางอาลักษณ์ ไม่ว่าคนใดก็ล้วนไม่มีใครระมัดระวังตัวอย่างเจ้า เอวของพวกเขาแข็งนักล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมท้ายที่สุดแล้วถึงเป็นเจ้า ไม่ใช่พวกเขาได้รับหน้าที่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยา?”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยตอบเบาๆ “เพราะกระหม่อมไม่มีมาดของปัญญาชนมากที่สุด เมื่อรับตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาคนใหม่ ฝ่าบาทก็ไม่ต้องทรงเป็นกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งกับเหมาเสี่ยวตง”
ฮ่องเต้เอ่ยเตือน “เรียกเหมาเหล่า”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยกล่าวอย่างหวาดหวั่น “ใช่ๆๆ เหมาเหล่า”
ฮ่องเต้พยักหน้ารับ พูดพึมพำกับตัวเอง “ต้าหลีสามารถให้ความเคารพแก่อาจารย์ฉีได้มากเท่าไหร่ กว่าเหรินก็ให้ความเคารพเหมาเหล่าได้ในระดับเดียวกัน นี่ก็คือความแตกต่างที่มากที่สุดระหว่างกว่าเหรินกับคนเถื่อนแซ่ซ่งจากต้าหลีผู้นั้น”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง
ฮ่องเต้กลับส่ายหน้ายิ้มๆ เสียก่อน “แต่ว่าไม่มีประโยชน์มากนัก”
เจ้ากรมพิธีการผู้นี้ตระหนกลนอย่างสิ้นเชิง
เพราะน้อยครั้งนักที่ฮ่องเต้จะตรัสเช่นนี้กับขุนนาง
นอกจากเมื่อสิบปีก่อน วันที่ผู้เฒ่ารับผิดชอบตำแหน่งขุนนางฟ้าอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน นี่เป็นครั้งที่สอง
ฮ่องเต้กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “มาดปัญญาชน กลิ่นอายของบัณฑิต คนเรียนหนังสืออย่างพวกเจ้าย่อมต้องมีอยู่แล้ว แต่หากมีแค่มาดของปัญญาชนอย่างเดียว ใช้เพียงคุณธรรมมาปกครองราชสำนักก็อาจจะไม่ดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองเสมอไป”
ผู้เฒ่าไม่กล้าเงียบต่อ ได้ต่อแข็งใจตอบเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!