ริมฝีปากของผู้เฒ่าสั่นระริก สุดท้ายจึงกัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงไปอีกครั้ง พูดเสียงสะอื้น “กระหม่อมได้แต่ใช้วิธีการที่ต่ำช้าเช่นนี้มาช่วยแบ่งเบาภาระให้กับฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้ต้าสุยประคองให้ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงอ่อนโยน “หลายคนในราชสำนักต่างก็พูดว่าเจ้าเป็นเพียงบุรุษที่ดีที่ทำแต่เรื่องเลอะเลือน แต่กว่าเหรินรู้สึกว่าขุนนางแบบเจ้าต่างหากถึงจะเป็นคานหลักที่ต้าสุยไม่อาจขาดได้อย่างแท้จริง!”
ผู้เฒ่าพลันน้ำตาอาบหน้า รู้สึกเพียงว่าความน้อยเนื้อต่ำใจตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาหายวับไม่มีเหลือ รีบคุกเข่ากลับลงไปอีกครั้ง “กระหม่อมไร้ความสามารถไร้คุณธรรม ช่างผิดต่อความไว้วางใจที่ฝ่าบาททรงมอบให้ยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้ต้าสุยเตะผู้เฒ่าเบาๆ หนึ่งที กล่าวถอนฉิว “เป็นถึงเจ้ากรมพิธีการผู้ยิ่งใหญ่ รู้จักเล่นแง่กับเขาด้วยหรือ? รีบลุกขึ้น ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย!”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยถึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วปาดมือเช็ดสะเปะสะปะไปทั่วใบหน้า “ให้ฝ่าบาทเห็นเรื่องตลกแล้ว”
ฮ่องเต้นั่งกลับลงไปที่เดิมแล้วโบกมือ “กลับไปเถอะ”
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยค้อมตัวบอกลา
ฮ่องเต้หยิบคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาจากหนังสือกองเล็ก ไล่พลิกเปิดไปทีละหน้า ปากก็เอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “ได้ยินว่าบนโลกมีลมประหลาดอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าลมเปิดหน้าหนังสือ?”
เสียงของฮ่องเต้เบามาก แต่ขันทีร่างสูงใหญ่ที่อยู่นอกประตูห่างออกไปกลับยังคงได้ยินและตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท เป็นเช่นนี้จริง ลมเย็นขุมนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน ไม่อาจหาหลักฐานมายืนยันได้ รู้เพียงว่ามันชอบพลิกเปิดหน้าหนังสือ ไม่แน่นอนว่าต้องเป็นหนังสือเล่มเก่าหรือใหม่ ลมนี้แผ่วเบาอย่างถึงที่สุด นักพรตธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึง หากถูกคนชักนำและดึงดูดเข้ามาในร่างกายแล้ว ลมขุมนี้จะไหลรินผ่านอวัยวะภายในร่างกายอย่างเชื่องช้า หากมักจะเปิดหน้าหนังสือ อ่านหนังสือบ่อยๆ ก็จะสามารถยืดอายุขัยให้ยืนยาวได้”
ฮ่องเต้เงยหน้า กล่าวอย่างประหลาดใจ “ดีขนาดนี้เชียว? แล้วในต้าสุยของพวกเรามีหรือไม่?”
ขันทีเฒ่าที่ทั้งเส้นผมและขนคิ้วต่างก็เป็นสีขาวโพลนส่ายหน้า “แต่ไหนแต่ไรมามักมีแต่สำนักศึกษาหรือโรงเรียนของลัทธิขงจื๊อเท่านั้นที่จะได้ครอบครองลมเปิดหน้าหนังสือนี้ สถานที่อื่นๆ ล้วนไม่มี ต่อให้เป็นสำนักของลัทธิเต๋าหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ ฯลฯ ก็ยังหาไม่พบแม้แต่เสี้ยวเดียว”
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “โชควาสนาท่ามกลางฟ้าดินมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ น่าเสียดายก็แต่กว่าเหรินคือฮ่องเต้”
ขันทีเฒ่ายิ้มน้อยๆ “นี่คือความโชคร้ายของฝ่าบาทคนเดียว แต่กลับเป็นความโชคดีของประชาชนนับหมื่นในต้าสุย”
ชายที่สวมชุดคลุมมังกรหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ทรงโสมนัสเป็นล้นพ้น
ฮ่องเต้วางหนังสือลง พลันถามขันทีที่ยืนอยู่นอกประตู “ควรจะให้เกาเซวียนไปขอศึกษาที่สำนักศึกษาซานหยาหรือไม่?”
ขันทีเฒ่าส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “แม้ว่าการเดินทางไปถ้ำสวรรค์หลีจูครั้งก่อนจะมีอันตราย แต่กลับได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล แทบจะเรียกได้ว่าองค์ชายคือคนเดียวที่ครอบครองโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าสองอย่าง เรื่องไปขอศึกษาคงไม่จำเป็นอีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ในเมื่อองค์ชายกล้ารับปากว่าจะตามบ่าวเฒ่าเดินทางไปยังถิ่นของต้าหลีแคว้นศัตรู เดิมทีนี่ก็คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่บนมหามรรคาแล้ว”
ฮ่องเต้พยักหน้า กล่าวปลงอนิจจัง “หากว่ากันตามนี้ เซวียนเอ๋อร์ก็โชคดีกว่ากว่าเหรินมากนัก”
แต่แล้วฮ่องเต้ก็นวดคลึงจุดไท่หยาง เอ่ยอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า “แต่เจิ่นเอ๋อร์กลับต้องเจ็บตัวอย่างอยุติธรรมไปเปล่าๆ กว่าเสด็จแม่ของเขาจะเกลี้ยกล่อมให้เขาไปยังพื้นที่ศักดินาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมเป็นเรื่องที่น่าปิติยินดีอย่างมา แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าเกาเซวียนผู้นี้กลับเรียกแทนตัวเองว่าเกาเจิ่นตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู ทำเอาเด็กสาวคู่แค้นที่พบเจอกันโดยบังเอิญคนนั้นพาเซียนกระบี่จากทวีปอื่นหลายคนเยื้องกรายลงมาจากฟ้าเพื่อเล่นงานเจิ่นเอ๋อร์ แม้จะบอกว่าหลังจบเรื่องนางรู้ว่าตัวเองจำคนผิด จึงมาขอโทษแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเจิ่นเอ๋อร์นิสัยอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กจึงตกใจไม่น้อย”
“นี่คือความผิดของบ่าวเฒ่า หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจู ไม่ควรวู่วามขนาดนั้น”
ขันทีร่างสูงใหญ่โค้งตัวเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ
ฮ่องเต้ต้าสุยโบกมือ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไม่ต้องคิดมาก ใช่แล้ว ตรวจสอบเจอตัวตนที่แท้จริงของเด็กสาวคนนั้นหรือยัง?”
ขันทีส่ายหน้า “ยาก รู้แค่ว่าเป็นบุคคลของทางฝ่ายภูเขาห้อยหัว ไม่แน่ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยุ่งยากมากจริงๆ”
ฮ่องเต้ต้าสุยถอนหายใจกล่าวว่า “ตรวจสอบไม่เจอความจริงก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก เพราะอย่างไรซะผู้ฝึกกระบี่ของทางแถบเหนือก็ไม่ได้อยู่ในทวีปที่กว้างใหญ่ แต่หากเกี่ยวพันกับภูเขาห้อยหัวหรือกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มักจะยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง สถานที่สองแห่งนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของใต้หล้าพวกเรามาโดยตลอด”
สุดท้ายฮ่องเต้ต้าสุยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจ “ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ประเด็นสำคัญคือไม่ได้มีอยู่แค่แห่งเดียว”
……
ตอนนี้หลินโส่วอีพักอยู่ในหอพักเพียงลำพัง เพื่อนร่วมหอพักคนอื่นๆ ที่มาจากต้าสุยต่างก็ย้ายออกไปพักที่อื่นกันหมดแล้ว
วันนี้หอพักที่เดิมทีเงียบสงบกลับเปลี่ยนมาเป็นครึกครื้น
หลินโส่วอีนั่งพิงหมอน หลับตาทำสมาธิ
หลี่เป่าผิงกอดดาบยันต์มงคล นั่งหน้าดำอยู่บนหัวเตียง
หลี่ไหวยืนห่างออกไปไกล ทำหน้าน่าสงสารเหมือนอยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้อง
เด็กชายปลุกความกล้าให้ตัวเองด้วยการเดินออกไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปขอโทษสามคนนั้นดีไหม? ทางสำนักศึกษาก็บอกแล้วว่าหลี่ฉางอิงคือนักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อแล้ว ขนาดฮ่องเต้ต้าสุยก็ยังให้ความสำคัญ อีกอย่างยังพูดกันด้วยว่าเขาคือเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง พวกเราเอาชนะเขาไม่ได้หรอก”
หลี่เป่าผิงคล้ายแมวป่าตัวน้อยที่ขนตั้งชันเพราะถูกเหยียบหาง นางหันขวับมาจ้องหลี่ไหวเขม็ง กระชากเสียงขุ่นเคือง “ขอโทษอะไรกัน? หลี่ไหวเจ้าเรียนหนังสือมายังไง! หากท่านอาจารย์และอาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่จะต้องถูกเจ้าทำให้โมโหตายแน่!”
หลี่ไหวตกใจสะดุ้งโหยง แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้หลบไปร้องไห้คนเดียว เขาแข็งใจพูดเสียงสะอื้น “เรื่องทุกอย่างล้วนเป็นเพราะข้า หลินโส่วอีถึงได้บาดเจ็บ ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงง่ายๆ ข้าไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นตีตาย…แต่หลี่เป่าผิงเจ้าจะทำอย่างไร หากเฉินผิงอันรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บเพราะข้า เขาต้องเกลียดข้าจนตาย เขาต้องไม่สนใจข้าอีกไปชั่วชีวิตแน่ๆ …”
ในที่สุดหลี่ไหวก็แผดเสียงร้องไห้จ้า ไม่ว่าจะยื่นมือมาเช็ดอย่างไร น้ำตาก็ไม่หยุดไหลเสียที
พอหลี่เป่าผิงเห็นท่าทางเสียอกเสียใจของหลี่ไหว คำพูดจากโทสะที่มารออยู่ตรงริมฝีปากจึงถูกนางกลืนกลับลงท้อง ก่อนกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “หลี่ไหว เรื่องนี้เจ้าไม่ผิด เจ้าก็ไม่ต้องขอโทษ เจ้าวางใจเถอะ ต่อให้ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อาจารย์อาน้อยก็ไม่โทษเจ้าหรอก…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เป่าผิงก็มองหลี่ไหวด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “เพราะหากอาจารย์อาน้อยอยู่ที่นี่ก็ต้องพูดกับเจ้าเหมือนกันว่า หลี่ไหว เจ้าทำถูกแล้ว!”
พอพูดถึงและนึกถึงเฉินผิงอัน หลี่ไหวก็ยิ่งเสียใจ นั่งยองอยู่บนพื้นแล้วร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ “ในสำนักศึกษามีแต่คนเลว ถ้าเฉินผิงอันอยู่ต้องไม่ปล่อยให้หลินโส่วอีได้รับบาดเจ็บ แล้วก็ไม่ปล่อยให้เจ้าหลี่เป่าผิงถูกคนด่า…”
หลินโส่วอีที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นยาถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงแค่คลี่ยิ้มขมขื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!