กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 170

สรุปบท ตอนที่ 170.2: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป ตอนที่ 170.2 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 170.2 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

กระบี่จงมา – ตอนที่ 170.2 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ
บทที่ 170.2 ปรมาจารย์ใหญ่ที่ดื่มสุรารสเลิศ
โดย
ProjectZyphon
ในวังหลวงต้าสุย ใต้หลุมใหญ่บนลานกว้างตำหนักอู่อิง

ขันทีเฒ่าลุกขึ้นยืนร่างโงนเงน มังกรและเจียวสีทองเล็กบางเก้าตัวไหลหายออกจากช่องทวาร กลับคืนสู่ค่ายกลกำแพงมังกรบนพื้นดินอีกครั้ง

ร่างของผู้เฒ่าอาบไปด้วยเลือดสด แต่สีหน้ากลับฮึกเหิมราวกับว่าได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากการต่อสู้ครั้งนี้ แม้จะไม่มีวี่แววว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่ก็เหมือนนักเล่นหมากล้อมขั้นเก้าที่อ่อนแอที่สุดได้ก้าวเดินอย่างมั่นคงจนฝีมือการเล่นเลื่อนขั้นถึงระดับแข็งแกร่งช่วงกลาง เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงไม่อาจรับมือกับชายที่อยู่เบื้องหน้าได้อยู่ดี ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่เอาปราณมังกรที่ล้ำค่าของสกุลเกาต้าสุยมาใช้ให้สิ้นเปลืองอีกต่อไปแล้ว

ผู้เฒ่ากลืนเลือดสดที่แล่นขึ้นมาในลำคอลงไป ยิ้มกว้างสง่างาม “ข้าแพ้แล้ว”

หลี่เอ้อร์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เมฆหมอกขมุกขมัว แสงอาทิตย์ฤดูหนาวที่ส่องลอดผ่านชั้นเมฆออกมาคล้ายจะบิดเบือนไปมาก นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่ากล่าวขึ้นอีก “เจ้าก็แพ้เหมือนกัน”

หลี่เอ้อร์ถามยิ้มๆ “ใช้ค่ายกลกดขอบเขตข้า? กดข้าให้เหลือแค่ขอบเขตแปด?”

ขันทีเฒ่าตอบตามตรงไม่ปิดบัง “ใช้กำลังของทั้งเมืองล้อมจับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าที่แข็งแกร่งคนเดียว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ทว่าค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายอาจมหาศาลเกินไป แต่รับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนหนึ่งกลับง่ายดายอย่างมาก แม้จะต่างแค่ขอบเขตเดียว แต่ค่าตอบแทนที่ต้าสุยต้องจ่ายกลับลดน้อยลงไปมาก มากกว่าเดิมเยอะ”

ขันทีเฒ่ามองไปทางปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ฝีมือน่าหวาดกลัวแล้วเปิดเผยความในใจอย่างที่หาได้ยาก “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่หากเจ้าอยากพบฝ่าบาท ย่อมได้ เจ้ามีคุณสมบัตินั้น แต่ก็ไม่ควรสร้างเรื่องเอิกเกริกใหญ่โตถึงขนาดนี้ เพราะอย่างไรซะราชสำนักต้าสุยของพวกเราก็ยังมีหน้าตาให้ต้องรักษา”

หลี่เอ้อร์แสยะยิ้ม “ความหมายของเจ้าก็คือหมัดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้ายังใหญ่สู้หน้าของต้าสุยพวกเจ้าไม่ได้ ใช่ไหม?”

ขันทีเฒ่าอึ้งตะลึงไปก่อนจะยิ้มจืดเจื่อน “จะพูดอย่างนี้ก็ได้”

หลี่เอ้อร์กลั้นลมหายใจรวบรวมสมาธิ มหาสมุทรลมปราณจมลงเบื้องล่าง ก้าวเบาๆ ออกไปหนึ่งก้าว ชายฉกรรจ์ที่ไม่เคยใช้กระบวนท่าใดตลอดการต่อสู้ตั้งท่าหมัดโบราณอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

ปณิธานแห่งหมัดที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างเก่าแก่เรียบง่าย ดุดันเกินจะเปรียบ!

ขันทีเฒ่าที่ระดับลดลงสู่ขอบเขตแปดเบิกตากว้างอย่างตะลึงพรึงเพริด

จากนั้นเมฆหมอกที่ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงก็เริ่มลดตัวลงต่ำ

ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางทุกคนในเมืองหลวงและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขึ้นไปต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการโคจรลมปราณในร่างติดขัดไม่ราบรื่น

และยิ่งมีนักเล่านิทานตกอับไร้แซ่ไร้นามไร้สัญชาติคนหนึ่งที่เผยสีหน้าประหลาดใจ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วางไม้ปลุกสติ (ไม้ท่อนสี่เหลี่ยมที่สมัยโบราณใช้เคาะโต๊ะในศาลเวลาพิจารณาคดีเพื่อแสดงอำนาจอันน่าเกรงขาม) ในมือลง กล่าวขออภัยหนึ่งคำ ไม่สนใจเสียงด่าขรมของคนฟัง เดินจ้ำอ้าวออกจากเพิงเล่านิทานที่สร้างขึ้นชั่วคราว ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปทางวังหลวงด้วยอารมณ์หนักอึ้ง เด็กสาวที่ทำหน้าที่ดีดผีผาให้กับนักเล่านิทานเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย ถามเสียงเบา “อาจารย์ มีอะไรหรือ?”

ผู้เฒ่าตอบเสียงเบาเช่นกัน “มีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าบุกเข้าไปในวังหลวงต้าสุยเรา เกรงว่าอาจารย์คงต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักหน่อยแล้ว”

เด็กสาวอุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก เอียงศีรษะ ยิ้มไร้เดียงสา “อาจารย์ ท่านเป็นถึงนักพรตใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ด อีกอย่างท่านยังเป็นผู้ที่ได้รับการปรนนิบัติดูแลเป็นอันดับหนึ่งของต้าสุยเรา จึงไม่ถูกพันธนาการจากค่ายกลปกป้องเมือง ใช้ขอบเขตสิบเอ็ดเล่นงานขอบเขตแปด ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย”

ผู้เฒ่าที่หลังค่อมเล็กน้อยถอนหายใจ “ใครบอกกว่าสิบเอ็ดเล่นงานแปดจะต้องไม่ดีเสมอไป หากสามารถทำให้คนผู้นั้นฝ่าคอขวดไปได้ ขีดกำจัดของค่ายกลก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป บวกกับที่ถึงแม้ว่าขอบเขตของอาจารย์จะเป็นสิบเอ็ด แต่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือนักการทหารที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า อาจารย์อย่างข้าไม่เคยเก่งด้านการสังหารเลย นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ยุ่งยากมากที่สุด”

เด็กสาวที่รู้เรื่องวงในของการฝึกตนทำสีหน้าตะลึงงาน ใบหน้าของนางขาวซีดในฉับพลัน น้ำเสียงสั่นระริก “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ต้องระวังตัวนะเจ้าคะ!”

นักเล่านิทานอืมรับหนึ่งที กระทืบเท้าเบาๆ ฝุ่นผงคลุ้งตลบรอบร้านจนบริเวณโดยรอบมืดฟ้ามัวดิน รอจนฝุ่นสลายหายไป ก็ไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าหลังค่อมอีกแล้ว

……

หลี่เอ้อร์ก้าวเท้าลงไปบนความว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนกายแข็งแกร่งกำยำเผยกายอยู่บนลานกว้างตำหนักอู่อิงอีกครั้ง

จากขอบเขตแปดขั้นสูงสุดแหวกฝ่าปราการมหามรรคาไร้รูปลักษณ์ที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินไปตลอดทาง จนกระทั่งกลับคืนสู่ขอบเขตเก้าอีกครั้ง!

จากนั้นก็ไต่ทะยานสู่ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด!

สุดท้ายเมื่อชายฉกรรจ์หลับตาลง เขาก็ปล่อยหมัดออกมาช้าๆ พลางเอ่ยเบาๆ “จงเปิดให้ข้า!”

รอบด้านคล้ายมีโซ่พันธนาการจำนวนนับไม่ถ้วนปริแตกพร้อมกัน ความว่างเปล่าข้างกายชายฉกรรจ์ปรากฎรอยร้าวสีดำมืดหลายเส้นที่ตัดสลับกัน

พายุลมกรดก่อตัวขึ้นรอบทิศโดยมีหลี่เอ้อร์เป็นจุดศูนย์กลาง

หอบเอาฝุ่นผงเศษหิน เศษอิฐจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนคว้าง

พื้นราบของลานกว้างตำหนักอู่อิงกระเด้งม้วนตลบ!

เมื่อหลี่เอ้อร์เก็บหมัดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

พายุหมุนที่สูงเทียมฟ้าลูกนั้นก็สลายไปในบัดดล

ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยที่ยืนอยู่กลางลานกว้างลืมตาขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เบาจนไม่ได้ยิน “ความรู้สึกของขอบเขตสิบโปร่งสบายจริงๆ ดีกว่าตอนกินน่องไก่ที่ลูกชายเหลือไว้เล็กน้อย”

……

ฮ่องเต้ต้าสุยที่ยืนรอข่าวอยู่ใต้ชายคามองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ของสำนักศึกษาซานหยาสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหา เอ่ยเสียงดังว่า “ฝ่าบาทสามารถหยุดมือได้แล้วพะย่ะค่ะ”

ลมเย็นพัดผ่านไปข้างกาย นักเล่านิทานหลังค่อมยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ถอนหายใจพูดเสียงเบา “หากยังคิดจะสู้กันต่อไปก็มีแต่ต้องตัดใจยอมให้ครึ่งเมืองถูกรื้อถึงจะได้”

ยังดีที่หลี่เอ้อร์เป็นฝ่ายพูดเข้าประเด็นเสียเอง “คนที่รังแกบุตรชายของข้ามีอยู่ห้าหกตระกูลซึ่งรวมตระกูลนายพลเอกหัน สกุลฉู่หนานซี ฮวายหย่วนโหว ขอฝ่าบาทโปรดบอกให้บรรพบุรุษของตระกูลเหล่านี้ออกจากภูเขามาสู้กับข้าหลี่เอ้อร์ตัวต่อตัว หากพวกเขารู้สึกว่าข้ารังแกคนอื่น ไม่เป็นไร พวกเขามาพร้อมกันได้เลย สมบัติอาคมหรืออาวุธอะไรก็ยืมมาจากมิตรสหายให้มากๆ แค่ต้องรบกวนให้ฝ่าบาทช่วยหาสถานที่เงียบสงบขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อที่พวกเราทั้งสองฝ่ายจะได้สู้กันอย่างเต็มที่ หากไม่ได้จริงๆ จะไปนอกเมืองก็ได้”

เหมาเสี่ยวตงกลั้นยิ้ม เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

นักเล่านิทานถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เหมาเสี่ยวตงเหลือกตามองบนตอบกลับไป

ฮ่องเต้ต้าสุยปากอ้าตาค้างเล็กน้อย ถามเบาๆ “ต้องสู้กันอีกครั้งถึงจะได้?”

หลี่เอ้อร์กล่าวอย่างขับข้องใจ “เดิมทีที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อสู้กับท่าน แต่เพราะฝ่าบาทไม่ยอมปรากฏตัว ดึงดันจะให้สู้กันให้ได้ ข้าก็เลยได้แต่สู้กับพวกท่าน คนที่ข้าจะต่อสู้ด้วยจริงๆ นั้นคือพวกคนที่รังแกบุตรชายของข้า แม้จะบอกว่าเด็กๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ ต่อให้หลี่ไหวถูกเด็กร่วมหอพักวัยเดียวกันต่อยตี ข้าที่เป็นบิดาจะสงสารบุตรชายแค่ไหนก็ไม่มีทางพูดอะไรแน่ แต่ควรหรือที่พวกเขาจะเกเรกันขนาดนี้ อาศัยว่าชาติตระกูลของตัวเองดีจึงรู้สึกว่าสามารถรังแกคนอื่นได้ ขอโทษสักคำก็ไม่มี แม้แต่ของที่ขโมยไปก็ยังไม่เอามาคืน?”

หลี่เอ้อร์กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเครียดขรึม “หากต้าสุยของพวกเจ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาสู้กันต่อ ข้ารู้ว่ารากฐานของต้าสุยลึกล้ำ ไม่กลัวความลำบากยุ่งยาก แต่ข้าหลี่เอ้อร์กลับแปลกใจนัก หากขุนนางของต้าสุยเฮงซวยอย่างนี้เหมือนกันหมด วันหน้าหลี่ไหวบุตรชายข้าต้องมาเรียนอยู่ในสถานที่แบบนี้จะกลายเป็นคนยังไง?”

หลี่เอ้อร์หันไปมองนักเล่านิทานผู้นั้นโดยตรง “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านถือว่าเป็นคนหนึ่งที่สู้ได้ ส่วนคนที่สวมชุดแดงก่อนหน้านี้ถือว่าสู้เป็นแค่ครึ่งหนึ่ง”

ผู้เฒ่าหลังค่อมที่กำลังดื่มชาเกือบจะสำลักน้ำชา

ฮ่องเต้ต้าสุยเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ กว่าเหรินสามารถนำความไปบอกตระกูลเหล่านั้น ให้ผู้อาวุโสของพวกเขาออกจากภูเขา เพียงแต่ฝ่ายของฮวายหย่วนโหวอาจจะมีปัญหาเล็กน้อย แม้ว่าฮวายหย่วนโหวจะได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้น แต่บรรพบุรุษตระกูลเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นคนธรรมดา เรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังไม่ได้”

เห็นได้ชัดว่าหลี่เอ้อร์เตรียมพร้อมสำหรับปัญหาข้อนี้มาก่อนแล้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฮวายหย่วนโหวจ่ายเงินจ้างคน ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้”

ฮ่องเต้ต้าสุยถาม “ต้องการให้ตระกูลเหล่านั้นขอโทษหลี่ไหวกับสาธารณชนหรือไม่?”

หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “เป็นนายท่านผู้เฒ่ากันทั้งนั้น เรื่องอะไรจะต้องให้มาขอโทษเด็กคนหนึ่ง ไม่จำเป็น อีกอย่างข้าเองก็ไม่ต้องการให้บุตรชายเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างไม่สงบสุข ข้าก็แค่ไม่ชอบใจพฤติกรรมของตระกูลเหล่านั้นก็เท่านั้น หลังจากสู้กันเสร็จแล้วค่อยให้พวกคนแก่กลับบ้านไปสั่งสอนอบรมเด็กๆ ของตัวเอง แค่นี้ก็พอแล้ว”

ฮ่องเต้ต้าสุยผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย “อาจารย์หลี่เอ้อร์มีเหตุผลอยู่บนความถูกต้องอย่างแท้จริง หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ กว่าเหรินควรจะพบเจ้าตั้งนานแล้ว”

หลี่เอ้อร์รีบโบกมือ “ข้าไม่ใช่อาจารย์อะไรทั้งนั้น เหมาเหล่าต่างหากที่ใช่ อาจารย์สองคนในสำนักศึกษาที่สอนหลี่ไหวที่เป็นฝ่ายมาพูดคุยกับพวกเราสี่คนเป็นครึ่งๆ วันนั่นก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีมารยาท นั่นต่างหากถึงจะเป็นบัณฑิตตัวจริง”

เหมาเสี่ยวตงอมยิ้มไม่พูดอะไร

การให้เกียรตินี้นับว่าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าเสียอีกนะเนี่ย

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!