ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
บ้านหลังนี้ปล่อยให้เช่านานแล้ว เวลาปกติจะมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มาอาศัยอยู่อย่างสันโดษ แทบไม่เคยปรากฏตัวข้างนอก แต่การต่อสู้ของเทพเซียนที่ลุ้นระทึกคืนนั้นทำให้คนที่มีความคิดละเอียดลออตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือถิ่นที่งูและมังกรขดตัวอยู่
แม้ว่าการประมือครั้งนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวที่เรียกตัวเองว่าเป็นบรรพบุรุษตระกูลชุยซึ่งลงมือจากยอดเขาตงหัวจะได้เปรียบมากกว่า เพราะขว้างสมบัติอาคมออกไปมั่วซั่วตลอดทั้งคืน เรียกได้ว่าพร่างพราวตระการตา ทว่าการรับมือแต่ละอย่างของผู้เฒ่าร่างกำยำก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ขอบเขตสูงมากพอก็ยังยอมรับว่าหากตัวเองไปยืนในตำแหน่งเดียวกับผู้เฒ่า เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มชุดขาวที่โยนสมบัติอาคมราวกับโยนผักกาดขาวเน่าทิ้งผู้นั้น ก็คงไม่มีทางยืนหยัดได้จนฟ้าสางแน่นอน
ชายฉกรรจ์ถีบประตูให้เปิดออกแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน เห็นผู้เฒ่าร่างกำยำที่สีหน้ามืดดำสุดขีด เขาก็คือไช่จิงเสินผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบ เขายืนอยู่ในลานบ้าน บนโต๊ะวางเหล้าไว้หนึ่งกา มีกับแกล้มที่ปรุงอย่างพิถีพิถันเตรียมไว้เป็นจำนวนมาก สำหรับเขาที่เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้ว การดื่มด่ำกับความสุขที่ดีกว่าไม่มีอะไรให้ดื่มด่ำเลยเช่นนี้ ช่างเล็กน้อยจนไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง
ศึกใหญ่ในวังหลวงเมื่อวานนี้ ไช่จิงเสินคือหนึ่งในผู้ชม เวลานี้เมื่อได้เห็นชายฉกรรจ์จากต่างถิ่นที่เลื่อนสู่ขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่เหลือความมั่นใจใดๆ อีก แต่ไม่เหลือความมั่นใจไม่ได้หมายความว่าก้มหัวค้อมเอว จึงถามด้วยสีหน้าที่ไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่เย่อหยิ่ง “ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เจ้าพังประตูบุกเข้ามา มีธุระอะไร?”
หลี่เอ้อร์มองไช่จิงเสิน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าที่ไม่ทันตั้งตัวกระเด็นเข้าไปในห้อง ชนข้าวของในห้องล้มระเนระนาด นอนกระอักเลือดคำโตอยู่ตรงมุมกำแพงใต้กรอบป้ายของห้องโถงหลัก ลุกขึ้นมาไม่ไหวอีก
หลี่เอ้อร์หมุนกายจากไป
ไช่จิงเสินอึ้งงันเล็กน้อย ขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับกำแพง เดิมทีนึกว่าจะอย่างไรก็ต้องพูดกันสักคำสองคำแล้วค่อยลงมือ ประโยคที่ว่าพูดไม่เข้าหูก็ลงมือต่อยตี อย่างน้อยก็ยังต้อง “พูด” กันก่อนไม่ใช่หรือ? ไหนเลยจะไร้เหตุผลเหมือนชายฉกรรจ์ผู้นี้? นี่ไม่ใช่ว่าอาศัยอำนาจรังแกคนที่อ่อนแอกว่าหรือไร? ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบผู้ยิ่งใหญ่ บุรพาจารย์ตระกูลไช่ผู้ทรงอำนาจแห่งต้าสุยผรุสวาทเสียงดังอย่างอดไม่ไหว “แน่จริงก็มาสู้กันอีกครั้งสิ!”
จากนั้นชายฉกรรจ์ที่เดินไปหนึ่งหน้าประตูซึ่งไม่เหลือบานประตูแล้วก็เดินกลับเข้ามาในลานบ้านอีกครั้ง ยืนอยู่ตรงนั้น มองไช่จิงเสินที่อยู่ในห้อง
ผู้เฒ่ากลืนน้ำลาย “ข้าพูดกับเจ้าเด็กหนุ่มชุดขาวที่สู้กันวันนั้น ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
หลังคำพูดนี้หลุดออกมาจากปาก ผู้เฒ่าก็อยากจะขุดรูมุดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด
ตรงเอวของชายฉกรรจ์ห้อยกาเหล้าเปล่าหนึ่งใบ ถามคำถามที่พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง “เหล้าที่อยู่บนโต๊ะของเจ้ากานั้นซื้อมาเท่าไหร่?”
ผู้เฒ่าร่างบึกบึนเส้นผมขาวโพลนมึนงงเล็กน้อย จากนั้นในใจก็ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าสลด คิดว่าคนเราเมื่ออยู่ใต้ชายคาคนอื่นก็จำต้องก้มหัว จึงตอบไปตามตรง “ไม่รู้ราคาที่แน่ชัด แต่อย่างน้อยก็น่าจะประมาณสามสิบสี่สิบตำลึงเงินกระมัง”
หลี่เอ้อร์ครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกดขอบเขตให้เหลือแค่ขั้นแปด พวกเรามาสู้กันอีกครั้ง”
ไช่จิงเสินเดือดดาลสุดขีดแล้ว ข้าผู้อาวุโสแค่ดื่มเหล้าก็ถือว่าหาเรื่องเจ้าแล้วงั้นหรือ?
ผู้เฒ่าไม่ได้มีนิสัยปล่อยให้คนอื่นรังแกโดยไม่ตอบโต้ ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เพราะนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโห พลังการต่อสู้ล้ำเลิศของเขาถือเป็นที่ยอมรับของนักพรตในต้าสุย เขาจึงลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “สู้ก็สู้สิ ใครแม่งกลัวกันล่ะ!”
ครู่หนึ่งต่อมาหลี่เอ้อร์ก็ออกจากลานบ้าน ย้อนกลับไปยังสำนักศึกษา
ผู้เฒ่านอนอยู่ในลาน แม้จะไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส แต่เป็นที่แน่นอนว่ายังไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วๆ นี้
ผู้เฒ่ามองท้องฟ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอัดอั้นตันใจและขมขื่นขนาดนี้ รู้สึกว่าไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว
ผู้เฒ่าแซ่ไช่ก็จริง แต่ไม่ได้เขียนว่าไช่ที่แปลว่ากับแกล้มแอ้มเหล้าเสียหน่อย
รอพักฟื้นหายดีเมื่อไหร่ ผู้เฒ่าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่วังหลวง จะไปจากภูเขาตงหัวเฮงซวยแห่งนี้ อยู่ให้ไกลจากสำนักศึกษาซานหยา แม้แต่เมืองหลวงต้าสุยเขาก็จะไม่อยู่ต่ออีกแล้ว
……
หลี่เอ้อร์บอกว่าจะไปเดินเล่นในสำนักศึกษาเพียงลำพังสักหน่อย หลี่ไหวจึงกลับไปก่อน พบว่าหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอีต่างก็อยู่กันครบ คนทั้งสองเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน หลี่เป่าผิงกำลังคุยเล่นกับมารดาของหลี่ไหว “ท่านป้า พวกท่านจะอยู่ที่สำนักศึกษานานเท่าไหร่? อยากให้ข้าพาพวกท่านไปเดินเล่นในเมืองหลวงหรือไม่? ข้าศึกษาแผนที่เมืองหลวงต้าสุยมาอย่างละเอียดแล้ว ใช้เวลาเป็นครึ่งๆ วันกว่าจะหาแผนที่นี้เจอในหอหนังสือ พวกท่านอยากไปที่ไหนล่ะ ข้ารู้เส้นทางทั้งหมดเลยนะ”
พอมาถึงสำนักศึกษา สิ่งแรกที่หลี่เป่าผิงทำก็คือทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ยิบย่อยในสำนักศึกษาเสียก่อน เพื่อให้รู้ว่าทำอะไรแล้วถูกลงโทษอย่างไร เรื่องที่สองก็คือไปหาแผนที่เมืองหลวงต้าสุย เผื่อว่าวันหน้าอาจารย์อาน้อยมาหานางที่สำนักศึกษา นางจะได้พาเขาไปเดินเล่น
สตรีแต่งงานแล้วแย้มยิ้มชื่นชม “เป่าผิงน้อยฉลาดจริงๆ โชคดีที่หลี่ไหวของพวกเรามีเจ้าอยู่ข้างกาย เขาถึงได้ไม่ถูกคนรังแกมากนัก”
หลี่ไหวเบิกตากว้างจนดวงตาแทบจะถลนออกมา ตลอดทางมานี้คนที่รังแกเขามากที่สุดก็คือหลี่เป่าผิงนี่แหละ ไม่พูดถึงตอนอยู่กับอาเหลียงที่เขาเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน เรียกพี่เรียกน้องกับอีกฝ่าย ต่อให้ตอนอยู่กับเฉินผิงอัน เขาก็ไม่เคยต้องเสียเปรียบมาก่อน
อีกอย่างตอนที่อยู่ในโรงเรียนของบ้านเกิด หลี่เป่าผิงถอดกางเกงตนโยนขึ้นไปบนแขวนบนต้นไม้อย่างไร ท่านแม่ท่านไม่รู้เลยหรือ? ตอนนั้นท่านยังลากข้าไปที่ถนนฝูลวี่ กะว่าจะทะเลาะกับผู้อาวุโสในบ้านของหลี่เป่าผิงสักรอบ เพียงแต่ว่าพอเห็นสิงโตตัวใหญ่คู่นั้นก็ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเคาะประตูบ้านตระกูลหลี่
หลี่เป่าผิงกับมารดาของเขาคุยกันไม่แล้วไม่เลิก สรุปคือหลี่ไหวฟังจนปวดหัวไปหมด คนทั้งสองเหมือนเป็ดที่คุยกับไก่ (คุยกันคนละเรื่อง คุยกันคนละภาษา) แต่ทำไมยังคุยกันได้ถูกคออย่างนี้? คนหนึ่งถามว่า เป่าผิง จวนหลังใหญ่บนถนนฝูลวี่ของเจ้ามีเรือนกี่หลังกันแน่ อีกคนหนึ่งตอบว่าหอพักในสำนักศึกษามีเยอะมากเลยล่ะ เยอะกว่าเรือนในจวนของนางซะอีก…
เด็กสาวหลี่หลิ่วถูกน้องชายตอแยจนทนไม่ไหว ได้แต่รับปากว่าจะรีบเย็บรองเท้าผ้าคู่ใหม่ให้ นางนั่งเงียบๆ อยู่ริมขอบเตียง กำลังเย็บพื้นรองเท้าทีละเข็มอย่างละเอียดลออแน่นหนา บางครั้งก็เอียงศีรษะกัดเส้นด้ายให้ขาด แล้วจึงคลี่ยิ้มมองไปทางมารดาและน้องชายยิ้ม หากสบสายตากับหลินโส่วอี นางก็จะพยักหน้าให้ยิ้มๆ เด็กหนุ่มก็จะหน้าแดง ในใจขัดเขินไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดมาอธิบายอย่างไร
นี่เป็นครั้งที่สองหลังจากที่เด็กหนุ่มดื่มเหล้าในน้ำเต้าของอาเหลียงแล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่เลือกออกจากเมืองเล็ก ติดตามเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงมาศึกษาต่อ
หลี่เอ้อร์กลับมาถึงที่พัก หลี่เป่าผิงกำลังจะกลับพอดี พอเห็นชายฉกรรจ์แม่นางน้อยที่ไปไหนมาไหนว่องไวดุจสายลมก็พลันหยุดชะงัก ยิ้มทักทาย “ท่านลุงหลี่สวัสดี!”
หลี่เอ้อร์ที่พูดไม่เก่งรับคำว่าจ้าๆๆ ติดกันด้วยความดีใจ ตอนอยู่ในเมืองเล็ก เขาเคยไปที่โรงเรียนอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นหลี่ไหวมักจะบ่นที่บิดาอย่างเขาทำให้ขายหน้า หลี่เอ้อร์จึงไม่กล้าไปอีก ทว่าแม่นางน้อยที่มักจะสวมชุดสีแดงสดตลอดทั้งปีคนนี้กลับเป็นนักเรียนคนเดียวที่พอเจอเขาแล้วเรียกเขาว่าท่านลุงหลี่
แม่นางน้อยถอนหายใจ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาความคิดของนางบรรเจิดล่องลอยไปไกลอยู่แล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยขออภัยอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ “ท่านลุงหลี่ ข้าขอโทษนะ”
หลี่เอ้อร์ซื่อแต่ไม่โง่ เพียงครู่เดียวก็เข้าใจความคิดของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงได้ทันที นางต้องรู้สึกว่าตัวเองดูแลหลี่ไหวได้ไม่ดีแน่ๆ ชายฉกรรจ์จึงรีบส่ายหน้า “อย่าได้พูดแบบนี้”
หลี่เป่าผิงกล่าวจริงจัง “ท่านลุงหลี่ ตอนนี้หลี่ไหวตั้งใจเรียนยิ่งกว่าข้าเสียอีก อาจารย์เคยบอกว่าความขยันหมั่นเพียรสามารถชดเชยในส่วนที่ขาด คนเก่งก็ต้องใช้เวลากว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นท่านอย่าผิดหวังในตัวหลี่ไหวเลย เรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ไปชั่วชีวิต ไม่ควรรีบร้อน!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยก็ชูกำปั้น พูดเน้นเสียง “ไม่ควรรีบร้อน!”
หลี่เอ้อร์อารมณ์ดีสุดๆ แม่นางน้อยที่เป็นแบบนี้ช่างทำให้คนชื่นชอบและเอ็นดูมากจริงๆ ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “หลี่ไหวเรียนหนังสือ ข้าไม่รีบร้อน”
ทว่าในใจของชายฉกรรจ์กลับพูดว่า แต่ข้ากลับมีเรื่องหนึ่งที่ทำได้ สุดท้ายแล้วบุตรชายจะสามารถก้าวเดินไปได้ถึงขั้นไหนก็อยู่ที่ตัวเขาเองแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!