หลี่ซีเซิ่งตะลึงไปเล็กน้อย มองไปทางเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตัวเล็กน่ารัก ในใจพลันกระจ่างแจ้ง สีหน้าจึงเผยความชื่นชมออกมาเสี้ยวหนึ่ง บัณฑิตแห่งตระกูลหลี่ผู้นี้ค้อมตัวลง ขยิบตาให้นาง พูดทีเล่นทีจริงเสียงแผ่วเบา “เพราะบางช่วงเวลา อักษรบางตัวถูกอริยะบางคนแอบยืมไปใช้ยังไงล่ะ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกโมโหเล็กน้อย หากเป็นเรื่องความรู้ในตำรา นางมักจะมีความดื้อดึงที่ผิดไปจากเวลาปกติเสมอ ถึงขั้นสั่งสอนคนอื่นอย่างที่ไม่เคยทำ “หากอาจารย์ไม่รู้คำตอบที่ถูกต้องก็ไม่ควรอธิบายมั่วซั่ว ใต้หล้านี้จะมีเรื่องที่เหลวไหลแบบนั้นได้อย่างไร! รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้…”
ยิ่งเป็นช่วงท้าย ความดุดันของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยิ่งถดถอยน้อยลง เสียงก็เบาลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้สุดท้ายกลายเป็นเสียงหงุงหงิงเหมือนยุงบิน เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่ได้ยิน
เฉินผิงอันยิ้มแล้วตบศีรษะเล็กของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ พูดกับหลี่ซีเซิ่งว่า “พี่ใหญ่หลี่ อย่าโกรธเลยนะ ปกตินางไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก”
หลี่ซีเซิ่งหัวเราะดังลั่น กล่าวอย่างใจกว้าง “แบบนี้สิถึงจะดี”
ได้ยินว่าเฉินผิงอันจะไปที่อื่น หลี่ซีเซิ่งจึงออกจากตรอกหนีผิงไปพร้อมกับเขา
เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าในตรอกเบื้องหน้ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนสองมือไพล่หลัง ดูจากท่าทางเขาน่าจะเป็น…มือกระบี่?
ตรงเอวด้านหนึ่งของมือกระบี่ที่หันมาทางพวกเฉินผิงอันห้อยกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่ยาวกว่ากริชเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งห้อยกระบี่ยาวที่ยาวกว่ากระบี่ทั่วไป
ฝักกระบี่ของกระบี่สั้นเป็นสีขาวหิมะ ส่วนฝักกระบี่ยาวเป็นสีดำสนิท
เค้าโครงใบหน้าด้านข้างของมือกระบี่หนุ่มดูนุ่มนวล มุมปากมักจะตวัดโค้งขึ้นตามความเคยชินที่มีมาตั้งแต่เกิด ให้ความรู้สึกราวกับว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขาไม่อมยิ้มน้อยๆ ส่วนหน้าตาของเขานั้นกลับคล้ายจิ้งจอกตัวหนึ่งอย่างมาก เวลานี้เขากำลังหรี่ตาจ้องมองบ้านหลังเก่าที่สมบูรณ์แบบกว่าที่เขาคิดไว้ไปไกลโข นี่ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้มือกระบี่หนุ่มปลาบปลื้มยินดี กลับยังรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ด้วย
มือกระบี่หนุ่มหันหน้ามา ‘ยิ้ม’ มองพวกเฉินผิงอัน แล้วเอ่ยเสียงเบาอ่อนโยนด้วยถ้อยคำนุ่มนวล “รู้หรือไม่ว่าใครซ่อมแซมบ้านหลังนี้?”
เฉินผิงอันถามกลับด้วยสีหน้าที่มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว “ทำไมหรือ บ้านพังไม่ควรซ่อมหรอกหรือ?”
มือกระบี่หนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ยังไม่ต้องพูดว่าซ่อมได้ดีหรือไม่ เอาแค่ว่าเขตปกครองหลงเฉวียนต้าหลีของพวกเจ้า มีคำพูดว่าไม่ควร ‘ขยับดินเหนือศีรษะไท่สุ้ย’ หรือไม่?”
แม้ว่ามือกระบี่หนุ่มคนนั้นจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่เฉินผิงอันไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่ามีไอเย็นๆ ผุดพุ่งขึ้นมาที่หัวใจได้
คนต่างถิ่นอายุน้อยที่มองดูเหมือนพูดง่ายคนนี้ อันตรายอย่างมาก!
หลี่ซีเซิ่งพลันเดินออกไปหนึ่งก้าว ยื่นมือมาขวางพวกเฉินผิงอันสามคนที่อยู่ด้านหลังเอาไว้พลางเอ่ยเบาๆ “ยืนอยู่ข้างหลังข้า หลังจากนี้ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่มองอย่างเดียวก็พอ”
รอยยิ้มของมือกระบี่หนุ่มยิ่งกดลึก มือสองข้างกำไว้บนด้ามกระบี่สองเล่มที่สั้นยาวไม่เท่ากัน เขาโคลงศีรษะพยายามมองหาเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังบัณฑิตชุดเขียว สุดท้ายถึงยืนนิ่งๆ “ทำไม บังเอิญขนาดนี้เชียว ข้ามาเจอกับตัวการพอดีเลยรึ? ส่วนเจ้า คิดจะทำอะไร รนหาที่ตาย?”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “คุยกันด้วยเหตุผลดีๆ ได้ กระบี่ อย่าได้ชักออกจากฝักตามใจชอบ”
มือกระบี่หนุ่มยักไหล่ ยิ้มสีหน้าไร้เดียงสา “แต่เหตุผลของข้าน้อยอยู่ในฝักกระบี่นี่นา”
หลี่ซีเซิ่งร้องอ้ออย่างสบายๆ ยื่นนิ้วชี้มาที่ตัวเองแล้วพูดเหมือนคนเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ปราชญ์ดื่มสุรามิได้หวังเสพรสชาติของสุรา แต่มีเป้าหมายอยู่ที่ข้า?”
มือกระบี่หนุ่มยิ้ม “ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เจ้าคิด ขนาดชื่อแซ่เจ้าข้าก็ยังไม่รู้ เพียงแค่ข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วไม่ถูกชะตา ได้ยินเจ้าพูดจาเหลวไหลก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ แต่ก็ดีที่มีโอกาสยิงธนูลูกเดียวได้นกสองตัว สั่งสอนเจ้าพร้อมกับเจ้าเด็กคนนั้นไปพร้อมกันทีเดียว แบบนี้ไม่ยิ่งประเสริฐหรอกหรือ?”
มือกระบี่หนุ่มใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่สั้น เอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ข้าเฉาจวิ้นชักกระบี่ น้อยครั้งนักที่จะสังหารคน”
หลี่ซีเซิ่งขมวดคิ้วถาม “บรรพบุรุษของเจ้าคือเซียนกระบี่เฉาซี?”
มือกระบี่หนุ่มถอนหายใจ ตอบไม่ตรงคำถาม “เหตุใดบัณฑิตอย่างพวกเจ้าถึงชอบหาเรื่องลำบากใส่ตัว ด้วยตบะและสถานะของข้าเฉาจวิ้น ต่อให้ไม่ถูกชะตากับเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น แต่จะรังแกเขาได้ลงคอหรือ? อย่างมากสุดก็แค่ทำลายพื้นฐานวรยุทธ์ที่มีอยู่น้อยนิดของเขาให้สิ้นซาก แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าดึงดันจะออกหน้า หากความสามารถของเจ้ามีมากพอ หรือมีน้อยเกินไปก็ยังพูดง่าย แต่หากความสามารถไม่ดีไม่เลว แพ้ให้ข้าแบบครึ่งๆ กลางๆ ถึงเวลานั้นเด็กหนุ่มถูกข้าพาลโกรธ ก็ไม่เท่ากับว่าเจ้าทำร้ายเขาหรอกหรือ?”
มือกระบี่หนุ่มกล่าวจบก็แสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “เอาล่ะ ไม่อ้อมค้อมแล้ว บอกตามตรงก็แล้วกัน ข้าเฉาจวิ้นมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา สามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของสิ่งประหลาดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น…ตัวอ่อนกระบี่ก้อนหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นมายุ่งวุ่นวายกับบ้านบรรพบุรุษของข้าโดยพลการ หรือเห็นบัณฑิตอย่างเจ้าแล้วเกลียดขี้หน้าล้วน…เป็นความจริงทั้งหมด แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ สำหรับตัวอ่อนกระบี่ ข้าจะจ่ายเงินให้ แถมยังให้ราคาไม่ต่ำด้วย ส่วนพวกเจ้าจะรู้สึกว่าเป็นการฝืนใจบังคับซื้อขายหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยถาม “ก่อนที่เจ้าจะลงมือ ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าคือ?”
“ก่อนจะตีกันใครเขาถามคำถามแบบนี้บ้าง แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนน่าสนใจขนาดนี้ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะตอบ” มือกระบี่หนุ่มหัวเราะพรืด ดวงตายิบหยีลงเป็นเส้นโค้ง เขาที่เอ่ยด้วยถ้อยคำเบาสบาย ตอนที่พูดถึงวิถีกระบี่และขอบเขตของตัวเองกลับประหยัดคำพูดราวกับมันล้ำค่าดุจทองคำ “กระบี่ ระหว่าง แปด เก้า”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
ตัวอ่อนกระบี่ก้อนที่อยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเริ่มร้อนลวกขึ้นทุกขณะ เฉินผิงอันต้องไพล่มือซ้ายไปด้านหลังแล้วบิดข้อมือกำมันเอาไว้แน่น
……
ช่วงนี้หร่วนฉงมักจะมาที่ริมลำคลองหลงซวีบ่อยๆ เขายื่นมือลงไปในน้ำ วัดน้ำหนักความชื้นอึมครึมที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำลำคลอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!