สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวนิ่งสนิทดุจผิวน้ำ “บอกว่าเจ้าโง่ เจ้ายังไม่ยอมรับ ทะเล่อทะล่าเข้ามารบกวนการโคจรลมปราณของเฉินผิงอัน เจ้าจะถูกปราณกระบี่ขุมนั้นมองเป็นศัตรู ไม่เพียงแต่มันจะเล่นงานเจ้าเสียอ่วม ยังจะส่งผลกระทบต่อโอกาสพิสูจน์มรรคาของเฉินผิงอันด้วย และนั่นแหละที่จะทำให้เขาตายจริงๆ โชควาสนาดีๆ จะถูกเจ้าทำให้กลายเป็นหายนะเอาได้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะอื้นไห้ด้วยความเสียใจ “ทั้งร่างของนายท่านมีแต่เลือด นายท่านใกล้จะตายแล้ว คราวนี้เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม? ข้าไม่ได้โง่! เจ้าละโมบอยากได้หินดีงูของนายท่าน นายท่านไม่ควรพาเจ้ากลับมาด้วย เจ้ามันไร้จิตสำนึกสิ้นดี นายท่านดีต่อพวกเราถึงเพียงนี้…”
เด็กชายชุดเขียวกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งยองบนราวระเบียงไม้ไผ่ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เฉินผิงอันจะตายหรือไม่ เจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ ตบะน้อยนิดของเจ้าจะไปเข้าใจกะผีอะไร”
เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาลงเรื่อยๆ เพราะนางค้นพบว่าลมปราณสองขุมในร่างของเฉินผิงอันซึ่งตอนแรกวุ่นวายและพลุ่งพล่านอย่างชัดเจน ค่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะมั่นคงขึ้น เหมือนน้ำในภูเขาที่มาเจอกัน แม้ว่าตอนแรกน้ำจะกระทบกับหินจนก่อให้เกิดคลื่นพันชั้นซัดรุนแรง มองดูเหมือนอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นสงบนิ่งมั่นคง จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนรุนแรงเพราะได้รับความเจ็บปวดก็ถูกปลอบโยนให้สงบลงไปด้วย เปลี่ยนจากเสียงโหยหวนเมื่อแรกเริ่มมาเป็นเสียงครวญครางเบาๆ
เฉินผิงอันหลับลึกมาก ใบหน้าดำเกรียมที่บิดเบี้ยวค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติ สุดท้ายเหมือนทารกน้อยในห่อผ้าอ้อมที่หลับสนิทอย่างเป็นสุข
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดีใจอย่างถึงที่สุด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา พูดกับเด็กชายชุดเขียวเบาๆ ว่า “นายท่านไม่เป็นอะไรแล้ว แค่หลับจริงๆ แล้ว”
เด็กชายชุดเขียวเหลือกตาใส่ ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินเล่นเหมือนเห็นราวระเบียงเป็นทางเดิน
เด็กชายชุดเขียวเดินไปเดินมาอยู่บนราวระเบียง ใช้ความคิดอยู่กับตัวเองเงียบๆ อันที่จริงเขาเองก็แค่พอจะรู้เรื่องคร่าวๆ อย่างพร่าเลือนเท่านั้น หลังจากนี้ควรจะจัดการกับเฉินผิงอันอย่างไร เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจแล้ว เขาอยากได้หินดีงูของเฉินผิงอันนั้นไม่ผิด แต่จะให้ทำเรื่องชั่วช้าในขณะที่อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตราย ก็นับว่าดูถูกเขาที่เป็นสหายรักของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงเกินไป เขายินดีต่อยให้เฉินผิงอันตายด้วยหมัดเดียวแล้วค่อยแย่งชิงหินดีงูที่กองกันเหมือนภูเขาขนาดย่อมมาอย่างเปิดเผย ดีกว่าจะทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้น
ออกมาอยู่ในยุทธภพต้องมีคุณธรรมกันบ้าง
นี่คือกฎเกณฑ์ในยุทธภพที่เขายึดมั่นปฏิบัติมาโดยตลอด
มีครั้งหนึ่งสหายเทพวารีดื่มเหล้าจนเมามายได้พูดกับเขาประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีเหตุผล “คุณธรรมในยุทธภพจะมีมากเกินไปไม่ได้ แต่ก็ควรจะยึดมั่นอยู่บ้าง หากไม่มีเสียเลย ต่อให้เป็นมังกรที่แท้จริง ไม่ช้าก็เร็วต้องจมน้ำตายอยู่ในยุทธภพ”
เด็กชายชุดเขียวใจหายวาบ จากนั้นเบื้องหน้าของเขาก็ดำมืด พอเงยหน้ามองจึงเห็นว่ามีเทพเซียนชุดขาวคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างกายตน อีกฝ่ายกำลังก้มหน้ามองตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกวนโอ๊ย
เจ้าคนที่ชื่อเว่ยป้อยิ้มบางๆ ให้เด็กชายชุดเขียว “งูน้ำน้อย เจ้าไม่คิดจะฆ่านายท่านของตัวเอง ทำให้ข้าแปลกใจมาก”
เด็กชายชุดเขียวเกลียดใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายหล่อเหลาผู้นี้มากที่สุด ราวกับว่าคนทั้งสองเกิดมาก็เป็นศัตรูทางธรรมชาติต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อเว่ยป้อที่อยู่สูงกว่าหลุบตามองต่ำพูดหยอกเย้าตน เขาจึงอดหลุดปากด่าไปไม่ได้ “ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสไม่ได้เย่อแม่เจ้า ทำให้ข้าเสียใจมาถึงทุกวันนี้!”
ชายแขนเสื้อของเว่ยป้อสะบัดไหว เขากระโดดลงมาจากราวระเบียงอย่างสง่างาม ระหว่างนั้นยังตบศีรษะเล็กของเด็กชายชุดเขียวเบาๆ พลางหัวเราะระรื่น “เกเรจริง”
มองดูเหมือนเป็นการตบเบาๆ แต่ถึงกับทำให้ขาทั้งสองข้างของเด็กชายชุดเขียวที่ถูกตบแหกอ้า ล้มเผละลงไปนั่งบนราวระเบียง เจ็บจนเขาต้องเอามือกุมก้น แยกเขี้ยวหรา
หากเปลี่ยนไปอยู่สถานที่แห่งอื่น ต่อให้เป็นภูเขาทองแดง ภูเขาเหล็กก็ถูกเขานั่งทับจนถล่มลงมาได้ แต่เรือนไม้ไผ่ขนาดเล็กแห่งนี้กลับแข็งแรงทนทานผิดจากปกติ
เว่ยป้อนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ยกมือข้างหนึ่งจับข้อมือของเขา ชีพจรของอีกฝ่ายหนักแน่น ถือว่าเป็นลางดี
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามเบาๆ “เว่ยเซียนซือ (เซียนซือเป็นคำเรียกเซียนซึ่งแสดงถึงความเคารพ) ต้องย้ายนายท่านของข้าเข้าไปไว้ในห้องหรือเปล่า?”
เว่ยป้อเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าเป็นเจียวหลง เกิดมาก็มีภูมิต้านทานต่ออากาศหนาวเหน็บและร้อนระอุได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสัมผัสได้ไม่ชัดเจนนัก อันที่จริงเรือนไม้ไผ่แห่งนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือหน้าหนาวอบอุ่น หน้าร้อนเย็นสบาย ต่อให้เป็นแค่คนธรรมดา แต่หากถอดเสื้อผ้าอยู่ในเรือนไม้ไผ่วันที่หิมะตกหนักก็ไม่มีทางรู้สึกหนาวถึงขั้วกระดูก ดังนั้นปล่อยให้นายท่านของเจ้านอนหลับอยู่ตรงนี้ อย่าไปขยับเขยื้อนเขาจะดีกว่า”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบโค้งคำนับขอบคุณเว่ยป้อ
เว่ยป้อไม่เห็นสำคัญกับเรื่องนี้ เพียงถามยิ้มๆ “เฉินผิงอันได้นำเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยนบ้างหรือไม่?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูส่ายหน้า “นายท่านขึ้นเขามาครั้งนี้คงไม่ได้คิดจะอยู่นาน ในตะกร้าสะพายหลังจึงไม่มีเสื้อผ้าใส่มาด้วย”
เว่ยป้อขมวดคิ้ว มองเสื้อผ้าบนร่างของเฉินผิงอันที่เหมือนเพิ่งไปจุ่มเลือดมา หากเขาตื่นมาแล้วยังสวมชุดนี้คงไม่เหมาะนัก จึงพูดแนะนำ “พวกเจ้าจะไปซื้อเสื้อผ้าที่เมืองเล็กก็ดี หรือจะไปเอาเสื้อผ้าของเขาที่ตรอกหนีผิงก็ได้ รีบไปรีบกลับ อีกไม่นานเฉินผิงอันก็น่าจะตื่นแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วเตรียมจะจากไป
เด็กชายชุดเขียวจ้องเว่ยป้อเขม็งด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ข้าไม่เชื่อใจเจ้า”
เว่ยป้อคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่ที่นี่”
เด็กชายชุดเขียวโยนทองก้อนหนึ่งให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “นอกจากซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้นายท่านแล้ว พวกเราสองคนก็ต้องมีชุดใหม่ด้วย”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มตอบ “ข้าไม่ต้องใช้หรอก”
เด็กชายชุดเขียวตีหน้าเคร่ง “ข้าก็แค่พูดกับเจ้าไปตามมารยาทเท่านั้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางวิ่งปรู๊ดลงจากเรือนไม้ไผ่ ดิ่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็นั่งอยู่บนราวระเบียง หันหลังให้กับเฉินผิงอันที่นอนและเว่ยป้อที่นั่งอยู่บนพื้น ความคิดของเขาล่องลอยไปไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!